วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทความที่สาม สัปดาห์ที่สี่ บทสนทนาระยะสุดท้ายของถนนที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

บทความที่สาม สัปดาห์ที่สี่
บทสนทนาระยะสุดท้ายของถนนที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด
เราสองคนเดินทางออกจากกรุงเทพตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า มาอยู่บนถนนเส้นสุดท้ายสู่สังขละก็ประมาณสามทุ่ม บทสนทนาระยะสุดท้ายของถนนที่ทำให้รู้ว่า การเดินทางของวันนี้เราจะสิ้นสุดลงสักที กลายเป็นความหมายของวันนี้ ฉันนึกคำตอบบางอย่างให้กับเพื่อนคนสำคัญคนนี้ เพื่อนคนนี้จะเป็นคนที่ถามฉันตลอดว่าเรียนเป็นอย่างไร เรียนอะไร How is your Master Degree school? ฉันนึกได้ว่าฉันได้แต่บอกกับเขาไปว่าฉันทำอะไร แต่ไม่เคยบอกว่าฉันเรียนอะไร หรือว่าได้เรียนรู้อะไร
บทสนทนาวันนี้เรื่องที่ว่าฉันได้เรียนรู้อะไรในระหว่างที่เข้าไปเรียนที่อาศรมศิลป์ ยังทำให้ฉันพูดบางอย่างที่ฉันพยายามจะพูดบอกกับเพื่อนคนนี้มาตลอดทั้งวัน ว่าฉันรักเขา ได้ยินไหม ฉันพยายามจะพูดจะบอกเขามาตลอดระยะทางที่เรานั่งรถมาด้วยกัน ยังรักอยู่ รักและปรารถนาดีกับเขามากมาย
แล้วเราคุยอะไรกันในบทสนทนา
ในเส้นทางการเดินทางกลับสังขละวันนี้ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะเส้นสุดท้าย จากทองผาภูมิเข้าสังขละบุรี เส้นโค้ง ขึ้นเขาเส้นนี้ แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเมื่อเราเห็นสะพานรันตี เราจะรู้ว่าอีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเราจะถึงจุดหมายขึ้นมาทันใด จากที่เราเพิ่งคิดกันว่าเมื่อไหร่จะถึงนะ ดูว่าถนนนี้จะไม่มีที่สิ้นสุด ฝนตกพรำๆ พอให้ถนนลื่นกำลังดีทำให้ขับยากขึ้นมาอีกไม่น้อยในเวลากว่าๆ สามทุ่มอย่างคืนนี้
สิ่งที่เข้ามาในความคิดของฉัน คือ ฉันไม่เคยตอบคำถามเขาว่าฉันเรียนอะไร อยู่ดีๆ ฉันก็โพล่งกับเขาว่า รู้ไหมที่สถาบันอาศรมศิลป์ทำให้ฉันเรียนรู้อะไร สถาบันเสริมโอกาสและสนับสนุนบรรยากาศให้ผู้เรียนเข้าไปข้างใน เรียนรู้จากภายในตัวเอง ไม่ใช่จากความรู้ข้างนอกที่มีอยู่มากมายเหลือคณา ทั่วๆ ไปสอนให้เราเรียนจากข้างนอก เรียน เรียน เรียนไม่รู้จักหยุด แต่สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ตั้งแต่เข้าไปสถาบัน ตั้งแต่วันที่สอบสัมภาษณ์ คือ การหยุดที่จะเรียนรู้จากข้างนอก แล้วมองกลับมาภายใน เรียนรู้จากตัวเอง จากความรู้สึก ความนึกคิด อารมณ์ของตัวเอง
อย่างเช่นวันนี้ฉันเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ในปฏิกิริยาที่ฉันมีกับเขา วันนี้เป็นวันที่วุ่นวายของเขามาก อะไรก็ไม่เป็นดั่งใจ เป็นวันที่ใหญ่สำหรับฉันเช่นกัน เพราะฉันกำลังเดินทางขึ้นไปสะสางภารกิจที่คั่งค้าง และอาจจะนำมาซึ่งการตัดสินใจอะไรที่เด็ดขาดสำหรับเรื่องศูนย์การเรียนห้วยหิ่งห้อย ฉันก็ยังนิ่งได้ ยังนิ่งฟังเขาได้ และไม่ได้ฟังอย่างแต่ก่อนที่ตัดสินเขา ฟังแบบบงการเขา หรือว่านะ ถ้าฉันเป็นเขาฉันจะไม่ทำอะไรอย่างนั้น หากแต่ฟังอย่างเข้าใจ ไม่ได้ห้ามปรามว่าห้ามโกรธ ไม่ได้พยายามที่จะใสสีให้สวยงามขึ้น หรือฉูดฉาดบาดตา หรือปกปิดอะไรบางอย่าง ฉันฟังเขาอย่างเข้าใจ เอาใจฉันไปอยู่ในใจเขา แล้วคิดว่าหากฉันเป็นเขาฉันจะรู้สึกอย่างไร ฉันคงรู้สึกเช่นกันกับเขาในบริบทที่เขาเป็น และฉันให้เวลาและพื้นที่ที่เขาต้องการที่จะอยู่คนเดียว เดินหนีไปสงบสติอารมณ์ นั่งเหนื่อยถอนหายใจอยู่ในร้านอาหาร เชื่อว่าเขาจะกลับมาเมื่อเขาพร้อม และเมื่อเขากลับมาที่รถ เพียงถามเขาว่ารู้สึกดีขึ้นบ้างใช่ไหม
ฉันบอกเขาว่าฉันยืมหนังสือการศึกษาทางเลือกของเขาไปอ่านสิบเล่ม แล้วฉันค้นพบอะไรที่หายไปในหนังสือการศึกษาทางเลือกพวกนั้น สิ่งที่ขาดหายไปคือ แม้จะเป็นการศึกษาทางเลือกของทางตะวันตกแล้วก็ยังไม่พูดกันอย่างลึกซึ้งถึงการเรียนรู้จากภายใน มองเข้ามาข้างใน เรียนรู้จากภายใน แล้วฉันก็อธิบาย
เพื่อนเป็นคนอเมริกันทางเลือก เป็นนักการศึกษาทางเลือกตัวยง เขาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับฉันในตอนแรก และพยายามหาเหตุผล ตัวอย่าง มาปกป้องการศึกษาทางเลือกที่เขาเชื่อที่เขียนในหนังสือ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ฟัง ฉันก็ปล่อยให้เขาไม่เห็นด้วยต่อไป เพราะเขากลับมาถามฉันว่าสถาบันเป็นสถาบันแนวพุทธใช่หรือเปล่า ฉันตอบว่าใช่ พุทธ ที่ว่าให้รู้ ให้ตื่น ให้เบิกบาน
แล้วเขาบอกว่าที่เขากลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่อเมริกา เขามีเวลาได้อ่าน Herb Kohl, Stupidity and Tears; Teaching and learning in trouble times โคลท์เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตว่า เขาเป็นคนที่อยู่กับเด็กมาตลอดชีวิต สอนมาตลอดชีวิต แต่ว่าปีหนึ่งที่เขากับภรรยาหยุดสอนหนึ่งปี แล้วไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส แล้วเขียนหนังสือ เล่มนี้ เล่มที่พูดว่าการเข้าไปเป็นครูในชุมชนได้อย่างไร เข้าไปฟังชุมชนอย่างไร กับเป็นปีที่ดีทีสุดในชีวิตของเขา
เพื่อนฉันบอกว่าน่าสนใจในประเด็นที่เขาบอกว่า เป็นคนที่สอน และรักเด็กอยู่กับเด็กมาตลอด แต่ปีที่ดีทีสุดของชีวิตกับเป็นปีที่หยุดสอน ทำให้ฉันเล่าเรื่องที่อาจารย์อ๋อยเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับเสกสรรค์ให้เขาฟังอีกทอดหนึ่ง ที่ว่าเสกสรรเป็นเสกสรรค์ที่ละทิ้งวีรบุรุษตุลา แต่เป็นเสกสรรค์ที่เข้าใจชีวิต ธรรมะ
ฉันบอกว่านี่อาจจะเป็นการละ การละความที่คิดว่าเป็นตัวเอง สู่ความไม่เป็นตัวตน ไม่หลงตามความฝัน ไม่ฝันว่าฉันเป็นคนนั้นคนนี้ แล้วพอได้เป็นก็มีเพียงภาพนั้นฝังใจว่านั่นคือฉันที่แท้ แท้จริงฉันคือใครกัน ฉันเข้าใจตัวฉันเองแค่ไหน ฉันเข้าใจชีวิตมากแค่ไหนกัน
เพื่อนฉันนิ่งไป หันมามามองหน้าฉัน นาทีนั้นที่ฉันได้บอกเขาว่า นะ ฉันยังรักเขาอยู่ ได้ยินไหม ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็เป็นคนพิเศษ เป็นคนสำคัญ และเป็นคนที่ฉันรัก การที่รู้ว่ารักใครก็เป็นสิ่งดีดีในชีวิต ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นด้วยนะ ฉันเข้าใจว่าเช่นนั้น
ฉันรับรู้ได้ว่า ทั้งฉันและเขา เราทั้งสองกอดความฝันของแต่ละคนอย่างหนักแน่น เต็มบ่า เต็มอก เต็มแรง แม้จะต้องไม่มีกันและกัน เราห่างจากกันและกันได้ แต่เราทั้งสองไม่ยอมห่างจากความฝันของเรา ฉันรู้สึกว่าฉันกอดมันแน่นเกินไป จนไม่เหลือพื้นที่ให้ใครเข้ามา ฉันรู้สึกได้ว่าคืนนี้ในอีกห้านาทีที่เราจะถึงจุดหมาย เขาก็รู้สึกเช่นกันว่าเขาเริ่มหายใจไม่ทัน เพราะเขากอดความฝันนั้นแน่นเกินไป
ฉันเขียนบทความนี้ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ หลังจากเดินทางมาทั้งวัน แต่ด้วยแรงบันดาลใจข้างต้น ทำให้ฉันคิดว่าต้องฉวยช่วงเวลาและบันทึกสิ่งนี้ไว้ เพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันอีกวันที่ใหญ่สำหรับฉัน จะเป็นวันที่มีอะไรเข้ามาอีกมากมาย ฉันจึงต้องเก็บวันเวลานี้ไว้ ณ บทความนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น