วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทความที่สิบเอ็ด ธรรมชาติวิจักขณ์ Vision Quest

บทความที่สิบเอ็ด
ธรรมชาติวิจักขณ์ Vision Quest

๗ นาฬิกา ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๒
สถานีรถไฟเชียงใหม่
“รถไฟจะมาช้าสองชั่งโมง”
พอดีที่ฉันจะใช้เวลารอ ตั้งคำถามและปณิธานชีวิต มีเสียงเรียกร้องดังก้องในใจ ตั้งหลักไมล์ว่าจะให้การเดินทางครานี้เป็นการเดินทางของการบ่มเพาะเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณ ความนิ่ง ความลึก สงบ แน่วแน่ ละเอียดอ่อน อ่อนโยนและนอบโน้มต่อธรรมชาติ ผู้อื่น สรรพสิ่ง รวมทั้งตัวเองอย่างไร

“รถไฟมาจริงๆ ๙.๓๐ ”
วิชา“ธรรมชาติวิจักขณ์” วิชาสุดท้ายปลายเทอมแรกของการศึกษาปริญญาโท บริหารการศึกษา เป็นหนึ่งวิชาที่ฉันเฝ้ารอมาตลอดเทอม และคิดว่าฉันจะได้อะไรมากมาย และอย่างที่ได้คาดหวัง ฉันแปรเปลี่ยน (Transform) เพียงอดอาหารสี่มื้อในป่า อยู่คนเดียว อย่างไร
เจอพี่ๆ ทีมนครสวรรค์ก่อน ได้น่งคุยกับอาจารย์เปี๊ยก อาจารย์เปี๊ยกมักมีเรื่องที่ได้ไปเรียนรู้มา ได้ยินมา ได้ฟังมา มาเล่าให้ฟังในห้องเรียน ที่สถานีรถไฟเชียงใหม่นี้ อาจารย์เปี๊ยกเล่าให้ฟังเรื่องคุณกวิช เป็นคนคิดจินตคณิต อายุ ๖๐ ปี เรียนที่จิตตปัญญา เป็นคนเรียนรู้มาก บ้าเรียนมาก เขาว่าเสียค่าเรียนเป็นเก้าหลัก ฉันนั่งนับ อาจารย์เปี๊ยกคำนวณให้อย่างว่องไวว่าเป็นร้อยล้าน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทันทีคือว่า คนเราใช้จ่ายเสาะหา เรียนรู้จากข้างนอกมากมายมหาศาล ทั้งๆ ที่หรือในที่สุด ขุมทรัพย์ ความรู้ ความเข้าใจที่เราต้องเรียนเป็นสิ่งแรก คือ รู้จักและเข้าใจในตัวเองมิใช่หรือ
รถสองแถวแดงมารอรับแต่เช้า ขึ้นคันละสิบคน มีมาสองคัน มีพระเดินทางมาด้วยหนึ่งรูป
ในรถสองแถว ฉันคุยกับอาจารย์เปี๊ยก พี่เอง พี่จือ แกงค์นครสวรรค์ว่าไปดูงานที่สัตยสัยเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้กันฟังบ้าง อาจารย์ว่าที่โรงเรียนสัตยาสัย เตรียมการเด็กให้อยู่อย่างพึ่งตนเอง และเมื่อโลกแตก น้ำท่วมโลกจะอยู่กันได้ ตั้งแต่เลือกสมรภูมิที่ตั้งโรงเรียน สอนให้เด็กเป็นคนดีแล้วจะเก่งเอง ตารางแต่ละวันเป็นอย่างไร-- ที่นั่น อาจารย์อาจองอ่อนโยนแค่ไหนกับเด็กๆ กอดเด็กๆ ที่นั่นทุกวัน ฉันว่านั้นเป็นไฮไลท์ที่ทำให้ฉันอยากไปดูงานที่นั่น ไปดูอาจารย์อาจองกอดกับเด็กทุกวัน และฉันจะกอดด้วยคน นั่นเป็นภาพที่ทำให้ฉันเสียดายมากที่ไม่ได้ไปดูงานที่สัตยสัยด้วย เพราะฉันจอจ่ออยู่การทำงานการ์ตูนดินปั้น จนอาจารย์เปี๊ย กแซวว่าคิดว่าฉันลาออกไปทำการ์ตูนแล้ว
จากจุดเริ่มต้นจากการสนทนาเรื่องการดูงานที่สัตยสัย นำเราเข้าสู่บทสนทนาที่เราเรียกกันว่าวิกฤตการโลกร้อน ที่เข้าเนื้อเข้าตัวฉันจริงๆ แล้วช่วงนี้ เพราะว่าฉันกลับมาอยู่ประจำที่กรุงเทพติดต่อกันมาสี่เดือน หลังจากที่ตั้งใจลาออกจากกรุงเทพอย่างถาวรตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ฉันกลับมากรุงเทพ เพราะการเรียนปริญญาโทด้วยประการหนึ่ง การอยู่กรุงเทพทำให้ฉันหายใจไม่ออก กลัวมลพิษ ไม่มีที่ทางจะหายใจ ไปไหนก็มีแต่ผู้คน รถรา ตึกอาคาร อากาศก็ร้อนเข้าทุกอณูขน รู้สึกว่าพึ่งตัวเองเรื่องอะไรในปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เลยที่กรุงเทพ อาหารการกินก็ไม่ปลอดภัย และสะดวกเกินจนล้นมาลงพุง
ฉันเชื่อว่าโลกแตกแน่ จากวิถีที่คนส่วนใหญ่เป็นอยู่ วิถีคนเมือง
แล้วอาจารย์เปี๊ยกก็เล่าให้ฟังว่ามีอาจารย์ดอกเตอร์คนหนึ่งพูดว่าหากน้ำท่วมโลก โลกแตกขึ้นมาจริง จะมีคนอยู่ ๓ ประเภท
๑. หาแต่ทางหนี
๒. สติแตก แม้แต่หนีก็ไม่รู้จะหนีอย่างไร
๓. มีสติ หาทางแก้ไขที่สาเหตุตั้งแต่ปัจจุบัน มี everyday mind
- - - -
คืนแรก ณ หมู่บ้านสบลาน
“คนเรากลัวบ้างก็ดี กลัวมากไปไม่ดี ไม่กลัวเลยก็ไม่ใช่” พะติจะแยะ
เวลากลัวก็ให้รู้ว่ากลัว พอเรารู้แล้วกลัวจะหายไป แต่ก็จะกลับมาใหม่ บทสนทนาที่เราคุยกันคืนแรกกับพะติต่างๆ และชาวบ้านที่มาต้อนรับ พะติจะแยะมีกระดิ่งแห่งสติ เคาะให้เรานั่งเงียบๆ ร่วมกัน ก่อนที่จะคุยแลกเปลี่ยน บทสนทนาคืนนั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเตรียมตัวก่อนเดินทางเข้าป่า ว่าด้วยเรื่องความกลัวกันพอประมาณ และว่าด้วยเรื่องการอดอาหาร ว่าคืนที่อดอาหารจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เยอะมาก เราจะมีปฎิกิริยากับดิน แสง ระหว่างวัน พลบค่ำ ว่าด้วยเรื่องความกลัว เรากลัวอะไร ถ้ากลัวผีเราก็ผีตัวหนึ่ง กลัวความมืด กลัวสัตว์มีพิษ พระมหาโอ๊ต พระจากวัดใหญ่อยุธยา ว่าด้วยเรื่องแผ่เมตตาสยบความกลัวและมีบทสวดมนต์มาแจกด้วย

“ถามตัวเองว่ากลัวอะไร กลัวใจตัวเองมากที่สุด”

ฉันเลยถามพระว่า ถ้ากลัวตัวเองสวดแผ่เมตตาให้ตัวเองได้หรือเปล่า
พระตอบว่า จริงๆ แล้วเราต้องแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อนที่จะแผ่เมตตาให้กับใครอื่นได้
ฉันสนทนาต่อว่า ไม่เคยเรียนรู้มาก่อนเลยว่า แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อนได้ ถึงได้เผาตัวเองอย่างนี้ มีบทแผ่เมตตาให้ตัวเองจริงๆ หรือ พระอาจารย์เปิดให้ดูหน้าที่ – มีจริงๆ ด้วยแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อนด้วย
- - - -
เช้าที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๒
“ฉันกลัวกลางคืน แต่ตื่นรอรับรุ่งอรุณ”
เมื่อคืนแรกที่นอนในป่า การเข้าไปอยู่ในเต้นท์เป็นความปลอดภัยสำหรับตัวฉันจริงๆ เมื่อคืนฉันจำได้ว่ากลัวกลางคืน และเหนื่อยกับการคิด คิดมาก และที่มากกว่าคือรบกับความคิดที่ว่าจะพยายามที่จะไม่คิด หยิบหนังสือสวดมนต์ที่พระอาจารย์ให้มานอนแผ่บนผืนทรายหนุนขอนไม้ บทแรกที่เปิดคือบทสวดมนต์แผ่เมตตาให้กับตัวเอง แล้วก็หลับไปตั้งแต่ไม่แสงยังไม่หมดหน้าเต้นท์ ตื่นขึ้นเจอแสงสุดท้ายของวันที่เขาเรียกกันว่าผีตากผ้าอ้อม ก็เข้าไปนอนในเต้นท์ต่อ นอนดูแสงที่ค่อยๆ หายตัวไปอยู่ในที่ปลอดภัย สุดท้ายลุกขึ้นมาล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าที่อุ่นกว่า และกลับเข้ามานอน กายไม่สบาย คิดว่านอนบนผืนทรายน่าจะนุ่ม จะนอนดูดาวก็ไม่ได้ดู เพราะเอาผ้าคลุมเต้นท์คลุมที่ยอดเต้นท์ เพราะกลัวหนาวน้ำค้างมากกว่าอยากได้ความโรแมนติคนอนดูดาว เตรียมกล้วยมากินสองใบมื้อเย็น เพราะเราออกมาวิเวกก่อนคนอื่นเขา ก็ไม่ได้กิน เพราะไม่รู้สึกหิวใดใด อยากนอน รู้สึกว่าร่างกายเรียกร้องว่า เหนื่อย เหนื่อยนักก็พักผ่อน นอน
ฉันตระหนักว่าฉันกลัวกลางคืน กว่าจะข่มตาหลับ หรือเรียกว่าพยายามข่มตาให้หลับ เหมือนกับว่าเหล่าแมลงก็ร่วมใจกันมาตั้งวงดุริยางค์ บรรเลง ฉันตั้งชื่อให้วงดุริยางค์ของแมลงวงนี้ว่า “เซ็งแซ่” เพราะมันทำให้กลางคืนคืนนี้เซ็งแซ่และกังวานก้องป่าจนน่าอัศจรรย์ใจ เสียงสายน้ำก็ดูเหมือนจะช่วยกันบรรเลงดังขึ้น ดังขึ้น แต่เสียงหัวใจของฉันก็ยังเต้นแรงกว่า ความมืดถาโถม มืดแล้วมืดเล่า ดูไม่มีความหวังว่าจะสว่างในไม่ช้า..
ฉันเป็นคนไม่ฝันตอนกลางคืนนัก แต่คืนนั้นฉันฝันถึงออฟฟิตเก่าที่สังขละบุรี ว่ามันกลายเป็นร้านอาหาร และคู่รักเก่าของฉันนั่งอยู่กับเด็กทารกสองคน รู้สึกว่าในฝันเราเป็นสุขนะที่เห็นภาพนั้น มันหมายถึงว่าความฝันของเขาเป็นจริง และในภาพนั้นไม่มีเรา
รุ่งอรุณตื่นจากฝัน ฟ้ายังไม่สาง แต่เสียงดุริยางค์ของแมลงที่ฉันได้ยินและคุ้นชินกับมัน แสงแห่งรุ่งอรุณก็เป็นแสงแห่งความหวังให้เรารอดูฟ้าสว่าง บิดขี้เกียจ และออกมาเต้นรำ
ก่อนที่ฟ้าจะสางฉันก็จ๊ะเอ๋กับความกลัวของตัวเอง รู้สึกถึงความกลัวของตัวเอง การตัดสินใจออกมาจากสังขละ เหลือไว้แต่ห้วยหิ่งห้อย อีกติ่งเดียวที่เรายังผูกไว้ แล้วถ้านี่เราปล่อยปมนั้นไป ฤาจะกลับไป เมื่อคิดเช่นนั้น ในใจข่มขื่นมาก กลัวมาก กลัวแบบมวนๆหม่นๆ ในท้องน้อยจนรู้สึกได้ กลัวเรื่องอะไร กลัวเรื่องความสัมพันธ์ กลัวเรื่องชุมชน กลัวว่าจะต้องไปอยู่ท่ามกลางพายุ กลัวว่าจะไม่มีกัลยาณมิตร บีบรัดตัวเองมาก เพียงแต่คิด หรือว่าเราหนี สิ่งที่ตัวเองกลัวมากๆ คือวิ่งหนี และไม่ต้องการรู้สึกผิดกับตัวเองและคนอื่นที่หลัง
ฤาเราเป็นตัวเอง รู้จักตัวเองดีพอ รู้จักศักยภาพ ไม่ใช่หนี -ฉันจะไม่หนี -
ขณะนั้นกองไฟน้อยๆ ลุกขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าสว่าง แจ้งแล้ว ลมพัดมา ใบไม้ร่วมพรู ฉับพลันราวกับว่าใบไม้ทุกใบจากต้นไม้ทุกต้นในป่านี้ระบัดใบลงมาสู่พื้น ระบัดใบมาตรงเกาะกลางแม่น้ำ ซึ่งเป็นที่เรากลางเต้นท์เป็นที่อาศัยอยู่ กองไฟลุกพรือ ฉันถือว่ามันเป็นสัญญาณยืนยันความคิดชั่วขณะนั้นว่า - -
ฉันกลัวกลางคืนแต่ตื่นรอรับรุ่งอรุณ ฉันรู้สึกถึงความเป็นมิตร พลังที่เกื้อกูล ณ ยามรุ่งอรุณ เป็นเวลาของฉัน เวลาที่ฉันใส เริ่มต้นใหม่กับวัน กับปัจจุบันนั้นอย่างมีความหวัง อย่างสดใส อย่างใคร่ครวญ กระจ่างใส
แล้วลมก็พัดมาอีกวูบ ให้ใบไม้ทั้งป่าระบัดใบ ร่วงพรูลงมาอีกครั้ง กองไฟน้อยๆ ของฉัน ลุกพรึ่บกลายเป็นกองไฟกองใหญ่ อย่างไม่ยอมมอดไปจนเช้า ฉันถือให้ปรากฏการณ์นี้เป็นประจักษ์พยานจากธรรมชาติได้หรือเปล่านะในการตัดสินใจครั้งนี้ ย้ายออกมาจากสังขละทั้งหมด ย้ายห้วยหิ่งห้อย ติ่งที่ยังยั้งไว้ออกมาให้หมด ขอ confirmation จากธรรมชาติเป็นประจักษ์พยานยืนยัน
ผลจากการคิด ...
จะไม่ให้หยุดคิดได้อย่างไร หากมันรบกวนจิตใจเราขนาดนี้ บ่ายวานในป่า ฉันพยายามมากที่จะไม่คิด หากแต่ว่ามันรบกวนให้ฉันทำอะไรไม่ได้ แต่เช้านี้ฉันให้เวลาพิจารณาตามสภาพที่มันควรจะเป็น สภาพความเป็นจริง ไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากให้เป็น ไม่ใช่คิดเข้าข้างฉัน หรือใคร
ใจนิ่งได้ เมื่อตัดสินใจกับปัญหาตรงหน้า งานได้ ได้งาน ชัดเจน ก็แต่ตัดสินใจตามที่หลักปัจจัย พิจารณาเงื่อนไขที่เป็นอยู่
จริงๆนะจะให้นิ่งหลับตาอยู่ได้อย่างไร ใจจะสงบได้อย่างไร ในใจร้อนรุ่ม การงานภาระยังไม่สะสาง จัดวางในใจให้เป็นที่เป็นทาง หากหลับตาก็เพียงการแช่ปัญหาให้อยู่เช่นนั้น ฉันมาอยู่ในธรรมชาติสวยงามขนาดนี้ จะมานั่งให้ใจร้อนรุ่มทำไม จะหลับตาฝากปัญหาไว้ที่สังขละ ไว้ที่กรุงเทพอยู่ได้อย่างไร นั่นจะทำให้ฉันไม่ได้อยู่ในที่ที่ฉันควรจะอยู่ เมื่อคิดได้อย่างนี้ ฉันก็ให้เวลา ให้ปัญญา ใคร่ครวญ พินิจกับปัญหาของฉัน และฉันก็หาที่หาทางให้มันอยู่ และพิจารณาตัดสินใจ วางใจในการตัดสินใจนั้น แล้วกองไฟก็ลุกพรือขึ้นมาอีกครั้ง เพราะสายลมแวะมาเป็นประจักษณ์ และสะกิดให้ใบไม้ระบัดใบ
- - - -
“แล้วฟ้าก็แจ้งจางปาง”
ฉันนึกถึงพิธีกรรมก่อนการออกมาอยู่วิเวกที่พะติและพี่น้องปกากะญอทำให้ เราทุกคนต้องเก็บก้อนหินมาล้อมให้เป็นวงกลมเพื่อแต่ละคนได้เข้าไปอยู่ในวงกลมก่อนและเมื่อกลับจากวิเวก ฉันจำได้ว่าเคยเข้าร่วมพิธีกรรมแบบนี้จากคนพื้นเมืองอเมริกันในงานวันเพื่อสันติภาพ ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ อเมริกา พลันระลึกได้ว่ามีพลังมาก พิธีกรรมนั้นทำให้ฉันตัดสินใจกลับเมืองไทย กลับบ้าน
เราจะเข้าไปนั่งในวงกลมทีละคน พะติจะสวดมนต์ท่องคาถา เวียนธูปรอบๆ เรา และให้เรานำสิ่งที่เสมือนเป็นตัวแทนของเราวางไว้เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ที่จะส่งผ่านความคิด จิตวิญญาณของเราถึงกันเมื่อเราเข้าไปอยู่ในป่า และเมื่อเราออกมาเราก็มาเอาของสิ่งนั้นของเรากลับมา เพื่อให้รู้ว่าเรากลับมาแล้ว
ฉันรู้สึกได้ถึงการตรึงจิตวิญญาณซึ่งกันและกัน ฉันท้าทายตัวเองเนื่องจากเสียงข้างในตัวเองเยอะ ฉันขอเข้าวิเวกตั้งแต่ก่อนมื้อเย็นเมื่อได้สถานที่ งดมื้อเย็น เป็นอดอาหารสี่มื้อ ฉันได้ยินเสียงข้างในที่มันอื้ออึงและสับสนมามากพอ ต้องการความเงียบ พลังของธรรมชาติที่ทำให้ฉันจับต้องและฟังเสียงข้างในของฉันให้ชัดเจนว่าต้องการสื่อสารอะไร ต้องการให้ชีวิตเป็นอย่างไร ควรเป็นอยู่อย่างไร เสียงข้างนอกโหวกเหวกเหลือเกิน
พะติมองหน้าฉันเพื่อขอความมั่นใจซ้ำว่าแน่ใจหรือ ฉันมองลึกเข้าไปในตาพะติ เราสบตากัน ฉันคิดว่าพะติเห็นเจตจำนงค์และศรัทธาอะไรบางอย่างในตัวฉัน พะติจึงทำพิธีให้เป็นคนแรก พะติถามว่าที่ที่ไปเลือกเป็นอย่างไร อยู่ตรงไหน
- - - -

“เลือกพื้นที่ได้เหมาะ จะมองเห็นเดือนเห็นดาว เห็นฟ้าเห็นน้ำ”
พะติบอกฉันว่างั้น ที่ที่ฉันเลือก น้องหมอ สถาปัตย์บอกว่าพี่เนาว์เลือกที่ได้เท่มาก!
ฉันเลือกที่เกาะกลางน้ำ บนผืนทราย เพราะเหตุผลเรียกร้องหลายอย่าง ประการแรกเพราะความกลัว ทีแรกฉันคิดว่าจะเลือกที่ในป่า ต้นไม้หนาทึบ เพราะหลายคนจะเลือกอย่างนั้น แต่เมื่อฉันเดินไปในป่าจริงๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ตอต้นไม้ใหญ่ๆ ตะปุ่มตะป่ำ หากมืดมาอาจเป็นเงาหลอนๆ แรกฉันคิดว่าต้องก้าวผ่านความกลัวนี้ไป และเมื่อฉันไปยืนอยู่บริเวณป่าทึบจริงๆ ฉันรู้สึกบีบรัดตัวเองมาก เกินความจำเป็น และรู้สึกอึดอัด รู้สึกมวนท้อง ฉันมองเห็นภาพตัวเองจะนั่งหลับตาอยู่บริเวณนี้ทั้งวัน และไม่เห็นท้องฟ้า ไม่เห็นดาวดาว ไม่ได้ยินเสียงน้ำไหล และบรรดายุงและแมลงคงยกขบวนมาชุมนุมรอบๆ เต้นท์ของฉัน
ฉันจึงตัดสินใจเดินต่อไป เดินออกมาจากป่าลึก เข้ามาใกล้แม่น้ำมากขึ้น ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งริมตลิ่งล้มพาดผ่านเป็นสะพานให้เดินข้ามไปสู่เกาะกลางแม่น้ำ ฉันรู้สึกเหมือนว่านี่ล่ะ คือทางที่จะนำฉันไปสู่ที่ปลีกวิเวกของฉัน แล้วฉันก็พบที่ของฉันกลางเกาะทราย รอบล้อมไปด้วยลำน้ำ ( อาจารย์รักษณ์บอกว่าถ้าเป็นหน้าฝนจะไม่ยอมให้ฉันกางเต้นท์ตรงนี้เด็ดขาด ถ้าเป็นหน้าฝนฉันก็จะไม่กลางเต้นท์ตรงนี้เด็ดขาดเช่นกัน )
เช้าวันนี้เองที่ฉันรู้สึกว่าฉันเลือกพื้นที่ได้เหมาะจริงอย่างที่พะติว่า มีอาณาบริเวณ เกาะที่กว้างขวาง ให้ฉันประกอบกิจกรรมมากมาย ฉันนอนเกลือกกลิ้งทำโยคะกับผืนทราย นอนหนุนหมอนขอนไม้บนผื้นทราย มองการเดินทางของลำแสงในแต่ละช่วงของวัน มีที่ให้ตากถุงนอนให้อุ่น ตากเสื้อผ้าให้ไม่มีกลิ่นเหม็น มีที่ให้ก่อกองไฟ ขุดหลุมทรายเป็นส้วม นอนบนผืนทรายคงนิ่ม และที่สำคัญฉันมองเห็นทุกอย่างได้รอบทิศ ได้เห็นธรรมชาติทุกอย่างของที่นี่ มีลำน้ำโอบล้อม มีผืนป่าโอบกอดรอบทิศ เห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสีเมื่อรุ่งอรุณ รับแดดจ้าระหว่างวัน แต่มีร่มไม้ให้พักพิง และได้เห็นพระอาทิตย์สิ้นแสงของวัน ฉันได้เห็นระยะความสั้นยาวของเงาตัวเองบนผืนทรายในทั้งกลางวัน และกลางคืน แปลกมากตั้งแต่โตมาก็ไม่เคยรู้จักเงาของตัวเองดีขนาดนี้มาก่อน
( เมื่อฉันออกจากป่า แล้วกลับมาบ้านที่กรุงเทพ เพื่งจะตระหนักว่าสถานที่แรกที่ฉันจะเลือกกางเต้นท์ มีลักษณะความรู้สึกคล้ายๆ สัญลักษณ์ของที่ที่สังขละบุรี ส่วนที่ที่ฉันเลือกกางเต้นท์จริงๆ เกาะกลางน้ำ เห็นน้ำ เห็นฟ้า ตะวัน และภูผาโอบรอบ มีลักษณะทางกายภาพ และความรู้สึกคล้ายกับที่ที่พิษณุโลกที่ฉันไปซื้อไว้ )

“เสียงหัวใจฉันเต้นเป็นปรกติสุขดี”
ฉันพยายามนั่งสมาธิหลับตา คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่น่าจะทำ แต่ว่าเมื่อมองไปรอบๆ กลับเห็นว่าธรรมชาติน่ามอง น่าจับจ้องมากกว่าลมหายใจตัวเอง ณ เวลานี้ ฉันได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นปรกติสุขดี อีกครั้งที่ฉันจำไม่ได้ว่าเคยได้หยุดยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นอย่างนี้ เขาอยู่สบายดีอยู่ข้างในเนื้อตัวของฉัน เราทักทายกันเหมือนเพิ่งรู้จักกันมาไม่นาน
ผีเสื้อเริ่มบินมาปรากฎกาย เหมือนย้ำอีกครั้งว่านี่ล่ะคือบ้านของฉันในวันนี้ ทำให้ฉันจำได้ว่าเมื่อคืนที่ฉันลุกขึ้นมาฉี่ก็มีหิ่งห้อยมาทักทายรอบๆ บริเวณเช่นกัน แสดงว่าลำน้ำนี้ก็ยังอุดมสมบูรณ์พออยู่ แม้ว่าจะดื่มกินไม่ได้แล้ว เพราะมีสารเคมีจากสวนส้ม สวนผลไม้จากด้านบน

“ท้องร้องโครกคราก น่าจะสักเที่ยงวัน ดูจากเงาที่สั้นมากและพระอาทิตย์อยู่ค้ำหัว”
“กลัวหิวมากกว่าหิวจริงๆ” ฉันรู้สึกกลัวชัดเจนมากว่าจะหิวมากๆ ถ้าหิวขึ้นมามากๆ จริงๆ จะทำอย่างไรดี แล้วจิตอันปรุงแต่งแสนวิเศษของฉันก็พากายเดินไปรอบๆ เกาะดูว่าในน้ำมีปลา มีหอยพอให้จับมากินหรือเปล่า ฉันคิดวิธีจับปลาด้วยเสื้อยืดและถุงกางเต้นท์เอาไว้แล้ว ปรากฎว่าเดินรอบๆ เกาะไม่เห็นปลาสักตัว จำได้ว่าตอนที่อาบน้ำเมื่อเย็นวานก็ไม่เห็นปลามาตอดสักตัว ฉันยังไม่ยอมแพ้ จิตพากายเดินไปกลางลำน้ำ เดินไปกลางลำน้ำอยากเดินไปว่าลำน้ำนี้จะสิ้นสุดตรงไหน จะพาเราไปไหนกัน และลึกสุดตรงไหนที่ไปไม่ได้แล้ว ลำน้ำตื้นเขินกว่าที่ฉันประมาณ พาให้ฉันเดินกลางลำน้ำไปได้เรื่อยๆ โค้งน้ำแล้วเล่า จนในที่สุดเจอโค้งน้ำที่มีฝูงควายลอยคอ เอาตูดแช่น้ำกันอย่างสบายใจ ทุกตัวจ้องมองฉันเป็นตาเดียว ฉันอยู่กลางน้ำ ฉันถอยหลังกลับแบบไม่คิดมาก คิดว่าลำน้ำคงพาฉันไปได้แค่นี้ ฉันพยายามเดินทวนน้ำกลับกลางลำน้ำทางเก่าสักยี่สิบก้าว และคิดว่าจะเสียพลังงานมาทวนน้ำโดดเดี่ยวไปไย ความรู้สึกหิวจริงๆ ปรากฎกายเช่นกัน ฉันจึงหันกลับเข้าหาฝั่งหาทางเดินริมตลิ่งเพื่อกลับไปยังที่มั่นของฉัน ฉันลงในแม่น้ำ เล่นน้ำกับต้นสะเทอ ต้นสะเทอเป็นต้นไม้ริมน้ำที่ขึ้นมากมายบนลำน้ำที่อยู่ภูสูง จนเป็นชื่อหมู่บ้านหนึ่งในทุ่งใหญ่นเรศวรชื่อว่า หมู่บ้านม่องสะเทอ เพราะมีต้นสะเทอเยอะ ดำน้ำลงไปดูใต้รากต้นสะเทอ ไม่เจอปลาเจอหอยจริงๆด้วย ขึ้นฝั่งอย่างปลงๆ ยอมรับสภาพและอยู่กับความหิวพอประมาณ บ่ายคล้อยๆ ฉันลองเข้าไปใกล้ธรรมชาติ ก้มมองดูมาร์โคร์ของดอกหญ้า ดอกอะไรนะที่ฉันเรียกชื่อไม่ได้แต่ว่ามีสรรพคุณห้ามเลือดเป็นเลิศ ฉันเพ่งพินิจลักษณะของดอกหญ้าทั้งที่ ตูม แย้ม บาน โรย ธรรมชาติช่างมหัศจรรย์และสวยงาม ฉันไม่รู้ว่าจะพรรณาอย่างไร ไม่รู้ว่าจะสเกตซ์ทุกลักษณะของดอกหญ้านี้ได้อย่างไรหมด ทุกดอกมีเอกลักษณ์ของตัวเอง แล้วฉันก็นึกถึงวลีมีความหมายที่ว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หากมนุษย์ให้เวลาตัวเองมองเห็นความงามของดอกหญ้านี้ได้ และอยู่กับความงามนั้น เราคงไม่ทำร้ายให้ดวงดาว โลก และจักรวาลนี้สะเทือนสะบักสะบอมกันไปทั่ว
ฉันนึกถึงบทสนทนาที่คุยกับอาจารย์เปี๊ยก ระหว่างทางสถานีรถไฟมาสะเมิง อาจารย์บอกว่าหากน้ำท่วมโลก โลกแตกขึ้นมาจริง จะมีคนอยู่ ๓ ประเภท
กรณีคนกลุ่มที่ ๑ หาแต่ทางหนี ฉันว่าชัดในเรื่อง ๒๐๑๒ ของอเมริกันชน สร้างเรือโนอาหนีกันแต่พรรคพวก ทั้งๆ ที่มีความรู้ท่วมหัว มีนักวิจัยที่เก่ง รู้ชะตา กำข้อมูล แต่สุดท้ายใช้ข้อมูลนั้นกันเพียงแต่พรรคพวก คนมีเงิน และมีเงินหลายระดับ พ่วงด้วยอำนาจ ไม่บอกข้อมูลกับประชาชน
กรณีที่ ๒ สติแตก แม้แต่หนีก็ไม่รู้จะหนีอย่างไร ฉันว่าน่าจะเป็นคนที่กลัว ช็อคตายก่อนที่น้ำจะท่วมถึงตัวเองจริงๆ อย่างประสบการณ์ฉันในป่า ที่กลัวว่าจะหิว ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันหิว จนเดินออกไปหาปลา หาหอย มาเตรียมไว้ นั่นเองต่างหากที่ทำให้ฉันเหนื่อยและหิวขึ้นมาจริงๆ ทั้งๆ ที่ฉันนั่งนิ่งๆ อยู่ ไม่ทำให้ตัวเองเสียพลังงานมาก ฉันอาจจะไม่หิวขนาดนั้น
กรณีที่๓ มีสติ หาทางแก้ไขที่สาเหตุตั้งแต่ปัจจุบัน ฉันรู้จริงตามสภาพ ยังหาปลาไม่ได้ เพราะไม่มีปลา จะสอนให้คนตกปลา เมื่อไม่มีปลาให้ตกได้อย่างไร อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจ แล้วฉันก็ได้สติและปัญญาว่ากลัวหิวน่ากลัวว่าหิวซะอีก จิตเราที่ปรุงแต่งไปยกใหญ่ และเข้าใจว่าทำไมคนกลัวหิวนัก และทำไมเรื่องปากท้องเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เงินทองของมายา ข้าวปลาของจริง ก็เมื่อเวลาเราเข้าป่าอยู่กับธรรมชาติของป่าและของตัวเราเอง
เราคุยกันอย่างออกรสและเจ็บปวดว่า มนุษย์เราทำร้ายโลกกันเหลือเกิน ฉันเพิ่งอ่านข่าวว่าเราไปเอาพลังงานจากดวงจันทร์มาใช้ในโลก และก็มีหนังเรื่อง Moon ออมาย้ำข่าวนั้นว่าเป็นจริงได้ หรือเป็นจริงแล้วเราไม่รู้ไม่แน่ใจ แต่น่ากลัวเป็นที่สุด เราทำร้ายกันถึงพระจันทร์แล้วหรือ แล้วข่าวอีกข่าวที่ฉันสะกิดใจคือ มีการพยายามส่งข้อความใส่ขวดขว้างไปในอวกาศเพื่อสื่อสารกับอะไรบางอย่างในนั้น สื่อสารอะไรหรือ ฉันสงสัยว่าจะเป็นข้อความขอโทษขอโพย หรือว่าสำนึกผิดหรือไรกัน ความคิดพามาถึงตรงนี้ทำให้ฉันตั้งปณิธานว่า หากชีวิตฉันมีเพียงอีกสามปี ๒๕๕๕ ฉันจะเป็น อยู่ ทำ ทำอะไร ฉันจะนำพาชีวิตฉันไปที่ไหน
- - - - -
“อยู่กับสิ่งที่มี และใช่สิ่งที่ฝันและทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด”
เป้าหมายการทำการศึกษาเรียนรู้ของฉันจะอยู่ที่การทำการศึกษาให้มีคนประเภทที่สามบนโลกกลมๆ ใบนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้น ด้วยความหวังว่าจะแบ่งปันให้มีโลกคงอยู่สำหรับเด็กๆ ได้เติบโต
กินวันละสองมื้อน่าจะพอดีตัวมากกว่า อยู่ดีๆ ฉันก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าคงไม่กำหนดให้พระฉันเพียงวันละสองมื้อ ฉันตั้งใจว่าจะกินวันละสองมื้อให้พอดีตัว จนถึงปี ๒๕๕๕
- - - - -
๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒
“เดินช้าช้า ออกจากป่า”
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน ฉันเก็บเต้นท์ รอแสงแดดฉายไล่ความชื้นของเต้นท์ ก่อนจะพับเก็บใส่ถุง
ฉันรู้สึกว่าเช้านี้พระอาทิตย์ตื่นสาย หรือว่าอ้อยอิ่งจากที่นอน หรือว่าฉันหิว
ขณะรอให้ผ้าเต้นท์แห้ง ฉันกลับไปดับกองไฟที่ก่อไว้ตั้งแต่เช้ามืดอีกครั้ง ฉันนึกไปถึงการทำ life coaching กับรุ่นพี่คนหนึ่ง เมื่อสักสามปีก่อน พี่จ๊ะ อาศรมวงศ์สนิท พี่จ๊ะ ให้เราจินตนาการถึงชีวิตอีกสิบปีข้างหน้า เมื่อฉันสัก ๔๐ ปี ภาพที่ฉันเห็นตัวเอง อยู่ในที่สงบ ลมพัดเย็น ฉันนั่งอยู่หน้าบ้านที่มีเฉลียงยื่นออกมา ฉันนั่งเขียนหนังสืออยู่ รอบๆ บริเวณได้ยินเสียงเด็กๆ วิ่งเล่น กลิ่นดอกพุดซ้อนหอมกระจายทั่วบริเวณ- - - เป็นภาพนิมิตที่มีพลัง และสงบสุขดีจัง
เข้าวงกลมก้อนหิน ใจรู้สึกว่า ใกล้ถึงบ้านแล้ว

“กินช้าช้า”
ละเลียดทีละคำ มองย้อนกลับไปในประสบการณ์ ในป่าวิเวก เห็นว่าตัวเองได้ ใคร่ครวญ ย้อนทวน เชื่อมโยง รื้อถอน ปะติดปะต่อ ภาพ เรื่องราว ความคิด ประสบการณ์ที่เราบ่มเพาะมาในช่วงชีวิตสิบปีที่ผ่านมา และ ค้นหากับหนทางดำเนินชีวิตในวันแต่ละวันและ วันข้างหน้าอันไม่ใกล้ไม่ไกล

วงคุยถอดประสบการณ์
ความรู้สึกที่ฉันแลกเปลี่ยน : “ รู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ อยู่กับประสบการณ์ ห้วงขณะ ความรู้สึก เท่าทันความคิดได้ไม่น้อย ได้ใคร่ครวญ ได้ย้อนทวน เห็นแจ้งในตัวเอง ประจักษ์ว่ากระบวนทรรศน์ตัวเองเปลี่ยน ได้ปณิธานชีวิต ให้ความหมายคุณค่ากับชีวิตใหม่อย่างไร เจอก้อนหินก้อนใหญ่ในใจตัวเอง เจอรุ่งอรุณของตัวเอง และลักษณะที่ทางที่ตัวเองอยู่แล้วตัวเองได้รู้สึกว่าเหมือนอยู่บ้าน และได้เป็น ได้เห็น ได้อยู่กับธรรมชาติของตัวเอง”
ฉันได้ผ่านประสบการณ์และคำตอบกับคำถามและปณิธานชีวิตที่ตั้งไว้: “ การเดินทางครานี้เป็นการเดินทางของการบ่มเพาะเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณ ความนิ่ง ความลึก สงบ แน่วแน่ ละเอียดอ่อน อ่อนโยนและนอบโน้มต่อธรรมชาติ ผู้อื่น สรรพสิ่ง และที่สำคัญต่อตัวเอง”

เดินออกจากป่า: ฉันรู้สึกว่าอื้ออึงและเซ็งแซ่ ยังไม่พร้อมกับการฟังเสียงข้างนอก อยากจะเก็บประสบการณ์และปณิธานที่ได้มาให้อยู่กับตัวได้อย่างแน่วแน่ จึงเดินแตกแถวนำหน้าออกมาจากกลุ่ม กลับมาที่หมู่บ้านก่อน

คุยวงกลางคืน
กลับมาสู่โลกของความจริง ทีมโรงเรียนมารายงานการทำโรงเรียนอย่างยืดยาว เราอิจฉารึเปล่านะ อิจฉาพี่นิดที่ทำโรงเรียนในฝัน เป็นฝันที่ฉันทำมาหลายปีก่อน อาจารย์อ๋อย อาจารย์แบน มานั่งวงแลกเปลี่ยนด้วย เรารู้สึกว่าวงคุยคืนนั้นเรื่อยเฉื่อย และล้อเล่น ไม่เป็นสุนทรียะสุนทนา ไม่ใช่วาระที่ฉันอยากให้เป็น ให้เราได้แลกเปลี่ยนกันอย่างลึกซึ้ง ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ในกลุ่มเพิ่งออกมาจากประสบการณ์ที่มีค่า หรือว่าฉันคาดหวังสูง ฉันเป็นคนคาดหวังสูงจัง แต่ในที่สุด เมื่ออาจารย์อ๋อยบอกว่าถ้าไม่แลกเปลี่ยนกันก็จะไปนอนแล้วนะ จึงจะมีการแลกเปลี่ยนอย่างลึกซึ้งขึ้น และเริ่มถึงการกล่าวขอบคุณพระติ และชาวบ้านที่ทำให้เรามีประสบการณ์นี้ ฉันกล่าวขอบคุณพะติจะแยะ ที่ให้ศรัทธาในตัวฉัน เมื่อเราสบตากันก่อนเข้าป่า อนุญาตให้ฉันเข้าในเวลาที่ฉันพร้อม
แล้วความรู้สึกก็แลกเปลี่ยนออกมาในวง ฉันบอกวงไปว่า วันที่มาวันแรกฉันร้องไห้ตั้งแต่นั่งสองแถวเข้าบริเวณหมู่บ้าน มันเหมือนกับหมู่บ้านที่สังขละมาก วันที่มาแลกเปลี่ยนในวงครั้งแรก กับชาวบ้าน ฉันก็น้ำตาไหล บอกวงเลยว่าฉันสับสนมาก สับสนว่ากำลังหนีออกจากบ้านหรือ หรือว่าอะไร อยากจะเข้าป่าไปเลย
- - - -
“Just Confirm!”
“คนอินเดียนแดงจะส่งคนสับสนเข้าไปในธรรมชาติ”
ประสบการณ์แห่งการแปรเปลี่ยนและความเข้าใจ
– กรณีศึกษา: การค้นหาที่นโรปะ คำบอกเล่าจากประสบการณ์ตรง โดย ณัฐฬส วังวิญญู – งานวิจัยการศึกษาทางเลือก อ. ส ศิวลักษณ์
มีอยู่วิชาหนึ่ง “ประสบการณ์จากธรรมชาติ” (Wilderness experience) เป็นวิชาที่ไม่ต้องใช้หนังสือเลย พาไปทะเลทรายไปอดอาหาร ๓ วัน อันนี้ไม่ต้องใช้หนังสือ เพราะหนังสือเล่มใหญ่คือธรรมชาติ เขาใช้วิธีแบบอินเดียนแดง คืออินเดียนแดงบอกว่า คนเราที่จะเรียนรู้ จะมีคำถามใหญ่ๆ ของชีวิต เช่นอาจจะถามว่า ชีวิตคนเราเกิดมาเพื่ออะไร บางคนสับสนว่าหน้าที่ของเราคืออะไร บางคนอาจเป็นผู้นำ บางคนอาจเป็นผู้ตาม บางคนว่าเอ..ชีวิตคู่เราไม่ราบรื่น เราจะทำอย่างไร จะมีคำถามใหญ่ๆ มากับวิกฤตการณ์ของชีวิต อินเดียนแดงจะส่งคนสับสนเข้าไปในธรรมชาติ ไปอยู่ไปภาวนา ไม่พูดกับใคร พูดกับธรรมชาติได้ แล้รองรับคำถามนี้ไว้ แล้วปล่อยให้คำตอบผุดขึ้นมาเอง อินเดียนแดงเรียก Vision Quest Quest คือการตั้งคำถามกับชีวิต Vision คือ ภาพนิมิต คล้ายๆ เหมือนการบวชของดินเดียนแดง ส่งหนุ่มน้อยเข้าไปบวชกับธรรมชาติแล้วกลับมาเล่าให้ฟัง ผู้อาวุโสจะฟัง แล้วช่วยตีความเชิงสัญลักษณ์ จะรู้เลยว่าเด็กคนนั้นมีหน้าที่อะไร และจะได้ชื่อใหม่ด้วย
- - - -
“Transform เปลี่ยนรูป จากผีเสื้อ สู่ดักแด้อีกครั้ง”
มาที่สบลานนี่ ฉันร้องไห้คืนแล้วคืนเล่า แล้วใคร่ครวญว่าทำไมประสบการณ์ที่สังขละของฉันจึงไม่สำเร็จตามเป้าหมาย ฉันร้องไห้อย่างไม่โทษตัวเองในวงคืนนั้น หลังจากประสบการณ์ที่ออกจากป่า เมตตากับตัวเอง มีปัจจัยสาเหตุหลากหลายมากมายที่นอกเหนือจากตัวฉัน สิ่งหนึ่งคือ เรื่องของมิติทางจิตวิญญาณที่มันหายไปแล้วในหมู่บ้านเวียคะดี้ ที่สังขละ ไม่เหมือนกับที่สบลานที่ยังมีผู้นำทางจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง สิ่งนี้ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะยังกระแสการเติบโตของโลกาภิวัตน์ที่เข้ามาทำลายหมู่บ้านได้ วันนี้เราต้านกระแสนั้นไม่ไหว เมื่อพิจารณารู้ได้อย่างนี้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้ฉันรู้สึกเอาใจช่วย และอยากเป็นกำลังใจให้กับพี่นิด หมู่บ้านสบลาน ให้เดินไปถึงเป้าหมายอย่างเข้มแข็ง
- - - -
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒
“โจ๊ะมาโลลือลา” โรงเรียนวิถีชีวิตปะกากะญอ
ตามโปรแกรม เราจะมาทำโรงเรียนที่หมู่บ้านสบลานนี้ด้วย ฉันรู้จักเด็กๆ ในหมู่บ้านนี้หลายคนแล้ว เมื่อวันแรกที่เข้าหมู่บ้านฉันไปเล่นกับเด็กๆ ก่อนจะรู้จักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านด้วยซ้ำ เด็กๆ ที่นี่น่ารัก เหมือนเด็กๆ ทั่วไป แต่มีความใส และสัญชาติญาณการเอาตัวรอด การอยู่กับปัจจุบันและความจริงมากกว่าเด็กเมืองทั่วๆ ไป เล่นกับเด็กที่นี่ทำให้คิดถึงเด็กๆ ที่สังขละ ( เอาอีกแล้ว )
ฉันเข้ากลุ่มสร้างหลักสูตรกับอาจารย์อ๋อยที่บ้านพะติจะแย เช้าเดียวเราได้โครงหลักสูตร ได้ชื่อโรงเรียน ฉันตั้งใจเรียนรู้ ดูการทำงานของอาจารย์อ๋อยในกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมกับชาวบ้าน กับครูอย่างไร อาจารย์นำไปเลย นำแบบสร้างการมีส่วนร่วมที่ไม่เท่ากัน แต่ทันกันและทันกิน ฉันสรุปกับตัวเองว่า กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมไม่จำเป็นต้องให้ร่วมเท่าๆ กัน เพราะประสบการณ์แต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ต้องมีทั้งนำ ทั้งตาม แต่ร่วมๆ ไปด้วยกัน ฉันมองหน้าพี่นิด ครูใหญ่ของโรงเรียน ครูนิดก็ยังพยักหน้าหงึกๆ ตามอาจารย์อ๋อย เราคิดว่า ใช่ล่ะ วันนี้มีอาจารย์อ๋อย นั่งเป็นประธานที่นี่ แต่หลังจากวันนี้ พี่นิดที่จะเป็นประธานแทน และเป็นคนที่อยู่ที่นี่ พี่นิดจ๋า เอาใจช่วยค่ะ
บ่ายขึ้นไปดูโรงเรียน โยงกับประสบการณ์การทำโรงเรียนของเรา ฉันต้องออกมานั่งอยู่มุมนอกๆ ดูรอบๆ โรงเรียน พี่เอง พี่จือ เดินเข้ามานั่งเป็นเพื่อน ฉันน้ำตาซึมอีกแล้ว คิดถึงห้วยหิ่งห้อย คิดถึงเมล็ดดาวกล่อมฝัน-เมล็ดดาวเดินทางของฉัน แต่ไม่ให้พี่ทั้งสองเห็น พี่เองเหมือนรู้ใจ ถามว่า คิดถึงโรงเรียนที่สังขละหรือเปล่า ฉันร้องโฮในใจ พี่จ๋าทำไมจะไม่คิดถึงล่ะ แต่สิ่งที่ฉันพูดกับพี่ไปว่า ประสบการณ์ที่นี่ ยืนยันและเป็นประจักษณ์พยานกับฉันว่า ฉันควรจะภูมิใจในตัวเองมากแค่ไหนและเห็นคุณค่าของตัวเอง รักตัวเองให้มากกว่าที่เคยเป็นมากแค่ไหน ฉันทำได้ ฉันชัด และมีเป้าหมายในชีวิตที่ดีงาม และสำคัญที่ฉันลงมือถากถาง ลงมือทำกับมัน อย่างเอาจริงเอาจัง อย่างหัวปักหัวปำ และด้วยความรัก เท่านั้นฉันจะเอาอะไรอีก นั่นคือคุณค่าและประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มากมาย
มีพิธีผูกข้อมือ หลังจากให้พะติ ชาวบ้านผูกข้อมือให้ ฉันเห็นอาจารย์อ๋อยนั่งอยู่เฉย ตั้งใจเข้าไปหาให้อาจารย์ผูกข้อมือให้และให้พร อาจารย์อวยพรว่า ขอให้เจอสิ่งที่ฝัน เราผงะนิดหนึ่ง นี่เรายังไม่เจอสิ่งทีฝันเนอะ ป่านนี้แล้ว หรือไร ทำไมยังสับสน สงสัย
แล้วพี่นิดก็เข้ามาให้อาจารย์อ๋อยผูกข้อมือด้วย ฉันเห็นสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น น่าเอ็นดู หวังดี เอื้ออาทรกันของอาจารย์อ๋อยกับครูนิด
วงนิทานของพะติแดงกับเด็กสถาปัตย์ สนุกสนานเฮฮามาก มากกว่าความสนุกสนาน พะติคือสายสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม วัย ภูมิปัญญา ฟังๆ พะติแดงเล่านิทานแล้วอยากกระโดดกอด ขย้ำแบบหมันเขี้ยว เหมือนเป็นปู่คนหนึ่ง
- - - -

๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๒
“กลับสู่โลกของความเป็นจริง”
ฉันวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าออกจากวิเวกที่สบลานจะยังไม่ตรงกลับบ้าน ต้องไปหาครูอาจารย์และกัลยาณมิตรในเชียงใหม่ก่อน เพราะคิดว่าจะต้องให้เวลาย่อยประสบการณ์จากการวิเวกและมีช่วงเปลี่ยนผ่านสักนิดก่อนที่จะกลับไปสู่โลกของความจริง การงานโดยทันที
“บ้านพี่อวยพร เขื่อนแก้ว ศูนย์สันติภาพและความยุติธรรมเพื่อผู้หญิง”
พี่อวยพรไปประชุมที่กรุงเทพจะกลับมาค่ำๆ แต่บ้านพี่อวยพรไม่เคยปิด ฉันเข้าไปอาบน้ำอุ่นและโทรเรียกหมอนวดประจำตัว ป้าบุญให้มานวด เพราะรู้สึกว่าร่างกายตึง เปรี๊ย ไปทุกส่วน ลมในร่างกายตีกันแย่งกันขึ้น ในช่วงที่โหมทำการ์ตูนดินปั้นแอนนิเมชั่น เบาไปบ้างเมื่อไปเข้าวิเวก แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่ายังมีสารพิษ ความล้าของกล้ามเนื้อสะสมอยู่ ป้าบุญมานวดให้สองชั่วโมง ถามว่าเราไปทำอะไรกับร่างกายมา ตอนนี้เราได้เป็นที่หนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ที่มีลมในร่างกายมากมายหลายกระสอบ นวดเสร็จหน้าใสและหลับไปจนค่ำพี่อวยพรกลับมาเรียกให้เข้านอนที่ห้องพัก
ตื่นเช้ามาไปเดินรอบทุ่งนากับพี่อวยพร เราแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของแต่ละคน ไม่ได้เจอกันครึ่งปี พี่อวยพรมีแฟนใหม่แกว่ามีทุกข์ใหม่ ฉันก็มีอาการตกหลุมรักครั้งใหม่ที่มาไวและไปไว พี่อวยพรบอกว่าฉันมีสติพอ ไม่ใช่เพียง Fall but Crawling in love คือไม่ตกหลุม คลานขึ้นมาจากหลุมแล้ว
ฉันนึกถึงคำท่านพระมหาโอ๊ต ที่ฉันสนทนาด้วยคืนที่ออกมาจากป่า ฉันไม่เคยนั่งสนทนากับพระต่อหน้าต่อตา ตามลำพังมานาน เพราะไม่เจอพระที่รู้สึกว่าจะสนทนาด้วยได้ โดยไม่โดนแต่เทศนา พระมหาโอ๊ตมีเมตตาและมีใจที่จะเรียนรู้เป็นกำลังและบารมีจนฉันรู้สึกได้ว่าจะต้องเข้าไปสนทนาธรรมด้วย แรกเราคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การวิเวก ท่านบอกฉันว่าท่านกลับมาคิดต่อจากคำถามที่ฉันโยนทิ้งท้ายไปกลับกลุ่มตอนที่เรามีวงแลกเปลี่ยนกันในป่าหลังจากที่เราออกวิเวก
ฉันโยนหินถามทางกับกลุ่มว่า “การมาวิเวกครั้งนี้ หากเป็นการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่เพียงแต่ภายในตัวเรา เพียงแต่ทรรศนะคติ แต่จะแสดงออกมาทางพฤติกรรม การกระทำของตัวเราเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างไร” ฉันคิดว่าเมื่อเราเดินออกมาจากวิเวกในป่า หากจะประเมินความสำเร็จของการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เราควรออกมากลับการตั้งใจว่าพฤติกรรมอะไรที่เราจะเปลี่ยน และยืนยันกับมัน
ฉันตั้งปณิธานว่าจะกินอาหารเพียงสองมื้อต่อวัน ลดการบริโภค ลดความอยาก และทำให้ฉันกลับมาอยู่กับร่างกาย ความรู้สึกได้มากขึ้น และฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ร่างกายตัวเองเรียกร้องมานานแล้วด้วย แต่ฉันยังมีความอยากอยู่เยอะกว่า
ท่านมหาโอ๊ตบอกฉันว่า ท่านนำสิ่งที่ฉันโยนถามไปในวงสนทนาวันออกจากวิเวก ท่านบอกว่ายังคิดอยู่ว่าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองอย่างไรดีหนึ่งอย่างเมื่อออกไปจากป่านี้ และหากโลกนี้มีเพียงอีกสามปี ท่านจะทำอะไร ฉันดีใจที่พระและฆราวาสเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ ฉันคิดต่อว่าจะมีนักศึกษาร่วมรุ่น รุ่นน้องกลับมาคิดต่อและยืนยันทำอะไร เปลี่ยนแปลงตัวเองสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคมบ้างหรือเปล่า อาจารย์โจ้ ธนา บอกฉันว่าคาดหวังสูงไปรึเปล่า ฉันบอกว่าให้โจ้ดูเลยนะ ว่าออกจากหมู่บ้าสบลานแล้วเราต้องแวะที่ตลาดสะเมิง แล้วใครกินเป็ปซี่ น้ำอัดลม สำหรับฉันนั่นแสดงว่าวิชานี้ตก หากฉันเป็นอาจารย์ประจำวิชานี้ จะให้รถสองแถววนกลับพาคนนั้นกลับมาเข้าวิเวกใหม่โดยทันที โจ้หัวเราะ ไม่รู้ได้ดูรึเปล่าว่าใครตก
วกกลับมาที่การสนทนากับท่านมหาโอ๊ต คุยไปคุยมากับท่านฉันได้คุยกับท่านเรื่องทำไมท่านมาบวช และเลยไปถึงเรื่องบุพเพสันนิวาส ท่านบอกว่าคำนี้มาจากคำว่า ปุพเพสันนิวาส เหตุเกิดจากรัก ซึ่งมีสองเหตุสองอย่าง ๑. การได้เกื้อกูลกันในปางก่อน ๒.การได้เกื้อกูลกันในปัจจุบัน คนที่จะอยู่ด้วยกันต้องมีศีลเสมอกัน คู่บุญ ส่งเสริมกัน คู่เวรคู่กรรมพากันจมดิ่ง รักมีสองด้านที่เป็นทั้งพลังและกังวล เพียงตัวเราลำพังขันธ์ ๕ ของเราก็หนักแล้ว มีคู่รักก็ไปเอามาอีก ๕ มีลูกก็ไปเอามาอีก ๕
ฉันถามพระว่าทำไมคนเราจึงหันมาธรรมะ
ท่านตอบว่า เพราะเห็นภัย เห็นความกลัว เห็นทุกข์
เสี่ยวบ้านปะกากญอฉันพักด้วย อนันต์ อายุเราเท่ากัน เขาจึงเรียกฉันให้ผูกเสี่ยวกัน มาเรียกให้ไปกินข้าวเย็นมือสุดท้ายร่วมกัน เขาได้ตัวนิ่มมาแกง เป็นอันจบบทสนทนาระหว่างฉันกับพระ ฉันรู้สึกดีใจที่ได้สนทนากับพระท่าน รู้สึกว่าศรัทธาและความหวังในพระสงฆ์กลับมามากกว่าครึ่ง
ฉันถามตัวเองว่าแล้วทำไมตัวเองจึงหันมาหาธรรมะ
ตอบตัวเองได้ว่า เพราฉันชนทุกข์เข้าอย่างจัง ไม่ใช่แค่เห็น แค่กลัว แต่เจอภัยที่ประสบกับทุกข์ของตัวเองเข้าอย่างจัง และที่นี่ ที่บ้านพี่อวยพรที่สอนให้เราอยู่กับความทุกข์ได้ อยู่กับตัวเองได้ รู้จักตัวเองได้ ยอมรับตัวเองได้ และยอมเห็นความเป็นจริง สิ่งที่มันเป็นอย่างที่มันเป็น
เมื่อพี่อวยพรกลับมาเรียกให้ฉันเข้านอนในที่พักเมื่อคืน ฉันเพิ่งตื่นจึงไม่คิดว่าจะกลับไปนอนต่อได้ ฉันจึงหยิบหนังสือมาอ่าน ตู้หนังสือพี่อวยพรเป็นเหมือนคลังมหาสมบัติ มีหนังสือดีดีประเภท Feminism, Woman Buddhism, Spiritual practice learning for transformation มากมายจากนักเขียนนานาชาติ แต่ฉันกลับไม่ได้หนังสือที่ฉันคิดว่ากำลังค้นหาอยู่จากตู้หนังสือพี่อวยพรครั้งนี้ แต่ตากลับเหลือบไปเจอหนังสือบนโต๊ะพี่อวยพร ชื่อว่า Spiritual Journey of a Dreamer “ผ่านพบจึงค้นพบ” เสกสรรค์ ประเสริฐกุล มีเสียงเรียกร้องจากหนังสือเล่มนี้ส่งตรงมาที่ฉัน นั่นจึงเป็นหนังสือเล่มที่เราพบกันคืนนั้น ฉันตั้งใจจะมาหาพี่อวยพรเพื่อปรึกษาเรื่องโครงการวิทยานิพนธ์ด้วย ด้วยประเด็นว่าเราจะชี้วัดว่าคนเราเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร Transformation Level ชี้วัดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้ให้คำตอบกับฉันว่า
“ฉันมีพันธะที่จะต้องย้อนกลับไปมองสำรวจตัวเองในรอบทศวรรษแห่งการโชกโชน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ มากมาย เพื่อเรียนรู้ว่าข้อจำกัดเก่าๆ ของตัวเองนั้นอยู่ตรงไหน ศรัทธา ความเชื่อเรื่องใดที่มันยังเป็นเช่นนั้นและยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ในปัจจุบัน ความคิด จิตใจเกี่ยวกับโลก ตัวเอง สังคม ชีวิตคืออะไร เรารู้จักเข้าใจในตัวเองมากแค่ไหน และเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ ค้นพบจิตวิญญาณของตัวเองดำเนินไปอย่างไร” การเข้าป่าปลีกวิเวก เพียงวิชาหนึ่งอาจเป็นเพียงจุดกระตุ้น จุดขยับ หรือจุดเปลี่ยน
การกลับมาสำรวจตัวตนที่ฉันผ่านประสบการณ์จริงในเรื่องต่างๆ ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เป็นวัตถุดิบ เป็นต้นทุน เป็นเสียงอื้ออึง เป็นขุมทรัพย์ที่อยู่ในตัวในตน มีเรื่องราวที่น่าจะนำมาเรียบเรียง เรียนรู้ เพื่อการรู้จักเข้าใจในตัวเอง และโลก เท่านั้นมิใช่หรือ ที่เราเกิดมาเพื่อ
- - - -

1 ความคิดเห็น: