วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทความที่สี่ สัปดาห์ที่ห้า การสิ้นสุดการเดินทางของถนนที่ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด

บทความที่สี่ สัปดาห์ที่ห้า
การสิ้นสุดการเดินทางของถนนที่ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด

เมื่อวานฉันเขียนบทความที่ชื่อว่าบทสนทนาระยะสุดท้ายของถนนที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด วันนี้บทความที่ฉันจะเขียนน่าจะชื่อว่า การสิ้นสุดการเดินทางของถนนที่ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด ในบทความวานนี้ฉันเขียนว่าฉันกำลังเดินทางไปที่ศูนย์การเรียนห้วยหิ่งห้อย เพื่อจัดการกับภาระที่คั่งค้าง และอาจเป็นวันที่ฉันต้องตัดสินใจอะไรที่รอบคอบ เด็ดขาด ประเมินตัวเองดีแล้ว
คำตอบเดินทางมาหาฉันเช้ามืดวันนี้ว่า ถึงเวลาของการสิ้นสุดการเดินทางของถนนที่ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดสายนี้สู่ศูนย์การเรียนห้วยหิ่งห้อย ฉันคิดว่าถึงเวลาปิดศูนย์การเรียนห้วยหิ่งห้อย ที่เพิ่งเปิดมาสามเดือน ภาคการศึกษาแรกเท่านั้น เพราะอะไร เกิดอะไรขึ้น ประเมินผลการเรียนรู้ของเด็กก็ออกมาว่าเด็กมีความสุข
เหตุการณ์เมื่อวานที่ทำให้ฉันต้องขึ้นมาที่สังขละบุรีโดยทันที เพราะว่าเกิดเหตุการณ์ที่ฉันกลัวว่าวันหนึ่งจะเกิด แต่ไม่นึกว่ามันจะเกิดเร็วขนาดนี้ นั่นก็คือ การท้าทายเผชิญหน้ากับนายทุน กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพล กลุ่มอำนาจ กลุ่มการปกครองส่วนท้องถิ่น และที่สำคัญกลุ่มการศึกษากระแสหลัก เหล่านี้ประดังประเด เข้ามาในเวลาอันใกล้ในทีเดียว ฉันจะไล่ไปว่าฉันทำอะไรบ้างที่เป็นการเผชิญหน้าต่างนานา จนทำให้รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยในชีวิตของฉันเอง ของเด็กเอง
ฉันเชื่อว่าฉันมีความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ฉันก็มีสติปัญญาเท่าทันที่จะรู้ว่ากาละเทศะที่เหมาะสม และถูกที่ถูกทางเป็นอย่างไร และก็มีสติพอที่จะหยั่งคะเนเหตุการณ์ในอนาคตได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มีใครเคยบอกว่าการทำงานกับเด็ก การทำงานการศึกษาหนีไม่พ้นเรื่องการเมืองแน่ และมันคือเรื่องที่อยู่ในโครงสร้างอันเดียวกัน เราอยู่ภายใต้โครงสร้างอันอยุติธรรมอันเดียวกัน ฉันเชื่อและมีความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าถูกกาลเทศะ นาทีนี้ฉันคิดว่าศูนย์การเรียนห้วยหิ่งห้อยไม่มีความปลอดภัยเสียแล้ว ฉันคิดว่ามันอยู่ในทีที่ไม่เหมาะ และไม่มีทางออก หากจะอยู่อย่างต่อสู้กับสิ่งที่เชื่อว่าถูกต้องและไม่ถูกต้อง หากว่ายังดึงดันจะอยู่ ทำต่อ ก็จะอยู่อย่างแคระแกน น้ำท่วมปาก พูดมากไม่ได้ ท้าทายอำนาจรัฐ ท้าทายกลุ่มผลประโยชน์ ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูที่ถาวร มีแต่เกมการเมือง อยู่แบบถูกเขม่นจากภาคการศึกษากระแสหลัก ยอมให้เด็กหายไปจากศูนย์อยู่ตลอดเวลาด้วยการค้าแรงงานเด็ก ต้องอยู่แบบยอมจำนน
ครูคนหนึ่งของฉันที่ฉันมาจัดการให้เขาออกจากพื้นที่โดยทันที เพราะว่าเขาต้องหาซื้อปืนพกไว้ที่บ้านพักครู เพราะครูคนนี้ไปเล่นเกมส์การเมือง ไปออกหน้าออกตาเรื่องการค้าแรงงานเด็ก ไปท้าทายกลุ่มอำนาจโรงเรียนมัธยมห้วยมาลัย ไปออกหน้าว่าความถูกต้องต้องมากับอำนาจ กองกำลัง ไปเข้าพวกกับนายทหารที่ท้าทายกระแสของกลุ่มผู้มีผลประโยชน์และอิทธิพลในพื้นที่ แต่ว่านายทหารนั้นมีกองกำลัง และกองกำลังเสริม และอาวุธ และไม่ใช่คนที่อยู่ในพื้นที่นาน มาสามเดือน หกเดือนก็ไปทำภารกิจที่อื่น แต่เราศูนย์การเรียนห้วยหิ่งห้อย จะอยู่ทีนี่ตลอดไป เด็กอยู่ที่นี่ตลอดไป เกิดที่นี่ มีรากอยู่ที่นี่ ไม่มีอาวุธ ไม่มีที่อยู่กิน อาศัยที่ที่ปลูกยางพารา ทีที่คนใต้ ผู้ใหญ่บ้าน อบต. บุกรุกพื้นที่อุทยานปลูกยางพารา
ฉันจัดการให้เขาออกจากพื้นที่ในทันที ในหน้าที่ของคนที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ในฐานะพี่สาวคนหนึ่งของเขา หรือในฐานะอะไรก็ตามที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยในชีวิตจนถึงกับต้องครอบครองอาวุธไว้ในมือ แต่ฉันก็บอกเขาว่าเขาทิ้งปัญหาไว้ให้ใหญ่โตนะ ให้รู้ว่าคนที่นี่จะอยู่อย่างไร ท่าทีของคนในพื้นที่เป็นคนแบบไหน ฉันไม่ได้ว่าเขาผิดไปทั้งหมด เขาทำตัวเขาเอง วางท่าทีผิด แต่ด้วยที่ว่าฉันเองก็ไม่เด็ดขาดพอในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการที่เห็นท่าทีความเป็นเขา และไม่ทันระวังและยั้งคิดว่าจะทำให้เกิดเรื่องได้เร็วขนาดนี้ แต่ว่าฉันก็ไม่ได้โทษเขาทั้งหมด ลึกๆ เขาก็คิดเหมือนฉัน เชื่อในสิ่งถูกต้องกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าไร้ปัญญาและไร้กาลเทศะ มีแต่ความคิดว่ากูแน่ กูเจ๋ง กูเก่ง กูกร่าง กูมีอำนาจมีกองกำลังหนุน และกูก็ไม่ใช่คนที่จะลงรากปักฐานอยู่ที่นี่
นั่นคือเหตุการณ์เฉพาะหน้าวันวาน หากแต่ว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หรือว่าตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา ฉันทบทวนอยู่ตลอดว่าทิศทางของศูนย์จะเป็นอย่างไร และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงก็เพื่อให้เหมาะกับสภาพ กับวิถีชีวิตจริงของผู้เรียน แต่ในขณะเดียวกันฉันก็มีเป้าหมายที่จะไปถึงในเรื่องของเป้าหมายการจัดการศึกษาเพื่ออะไร
Living in the trench เขาว่าการสอนก็เหมือนนั่นน่ะ
โรงเรียน Schoolness ไม่ใช่คำตอบของที่นี่ กศน ไม่ใช่คำตอบของที่นี่ สภาพของเด็กที่นี่ คือวัยแรงงาน วัยที่ต้องทำงาน เพราะครอบครัวยากจน ไม่ใช่มานั่งเรียนอย่างมีความสุข แต่ที่บ้านพ่อแม่ไม่มีอะไรจะกิน หากเขาจะอยู่ในชุมชน ในชุมชนมีอะไรให้เขาทำ แรงงานราคาถูก ตัดหญ้าวันละร้อย ไม่มีที่ดินทำกิน ให้มาทำที่ทำกินในโรงเรียน โรงเรียนก็มีที่อยู่กะจิ๊ดเดียว เช่าอีกหกไร่ อีกสี่ปี แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของที่พร้อมที่จะเอาที่กลับอยู่ตลอดเวลา และตั้งท่าว่าจะไม่เคยขายที่ให้เพิ่มกับโรงเรียน
เราจัดการศึกษาที่ทำให้เด็กรู้จักศักยภาพของตนเองได้ รู้ว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร แต่ข้อสอง นำศักยภาพนั้นเลี้ยงตนเองและครอบครัวอย่างมีสัมมาอาชีวะ ฉันมองว่าเขาทำได้ยากที่นี่ เพราะสภาพดังกล่าว ไม่มีที่ดิน ไม่มีความรู้ ได้เป็นแค่แรงงานราคาถูก ต้องออกจากหมู่บ้าน ไปโรงงานสับไก่ สับไก่อย่างมีความสุข หวังว่าวันหนึ่งอาจจะเป็นเจ้าของกิจการสับไก่ ยากหนึ่งในหมื่นก็ยังยาก ฉันมองว่าใช่ เขาไปสับไก่ได้ อย่างมีความสุข แต่ฉันว่านั่นไม่ใช่การทำเพื่อยังชีพ ยังเบียดเบียนตัวเองต้องก้มหัวจมยอมให้กับความอยุติธรรม ใช้แรงงานเยี่ยงทาส
ข้อสาม นำศักยภาพที่แท้ของตน สร้างสรรค์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมอันอยุติธรรมด้วยสันติ นี่ต่างหากเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ฉันมีไว้ในใจ หากได้ข้อหนึ่งข้องสองข้อสามข้างต้นแล้ว ฉันมองว่าหากยังอยู่ที่นี่ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่นี่ไม่ได้ ณ ด้วยยุทธวิธีนี้ ด้วยกำลัง กองหนุนที่เรามี ทรัพยากรที่เรามี อยู่ทีนี่เราใช้ศักยภาพไม่ได้อย่างเต็มที่ พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะจะถูกลูกซองเอาสักวัน สภาพพื้นที่ชายแดนสุดขอบโลก จะประกอบธุรกิจอิสระ การตลาดก็ทำยาก เพราะเป็นซะเมืองชายแดน ค่าขนส่งอีกล่ะ แล้วไหนจะรากความเชื่อเก่าๆ อีกล่ะ
โครงสร้างที่นี่มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย และมีอิทธิพลผลประโยชน์ แม้เอ็นจีโอที่เข้ามาทำงานที่นี่มากมายก็มีผลประโยชน์แฝงอยู่ไม่น้อย หากพูดถึงหัวใจของการบริหารการศึกษาที่นี่ก็บริหารยาก โดยเฉพาะเรื่องคน ครู เป็นพื้นที่ชายขอบ ยากที่จะหาครูมาอยู่ที่แท้ ทุนก็ยากที่จะบริหารให้ยั่งยืน หากแต่ต้องอิงกับแหล่งทุนเขียนโครงการอยู่มาก
ฉันไม่ได้ปิดเพราะยอมจำนน แต่ฉันว่าฉันต้องถอยเพื่อสร้างยุทธศาสตร์ต่อสู้ใหม่ สร้างพื้นที่ใหม่ที่ฉันสามารถเป็นอิสระได้มากกว่านี้ ใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ มีที่ดินที่เป็นของตัวเอง มีการจัดการทุนที่ยั่งยืน ที่ที่ทำให้รู้สึกมองเห็นภาพการเจริญเติบโตให้ร่มเงา ที่ที่มีกัลยาณมิตรแท้ ที่ที่ลมพัดเย็นสบาย ที่ที่ฉันรู้สึกได้ว่าเป็นบ้าน และไม่ต้องเผาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ที่ที่ไม่ใช่อยู่แล้วรู้สึกว่าเป็นเพียงแสงเทียนภายใต้พายุที่พัดกระหน่ำ ที่ที่ฉันอยู่แล้วทำให้แม่น้ำอุดมสมบูรณ์ แล้วมีหิ่งห้อยมากมาย
ที่นี่แสงหิ่งห้อยริบหรี่ และน้อยลงทุกวัน เพราะห้วยมีสารเคมียาฆ่าหญ้า ป่าข้างบนเป็นสวนยางไปหมด ภูเขาหัวโล้นปีละหลายสิบภู วันนี้หิ่งห้อยน้อยๆ ของฉันต้านแรงกระแสบริโภคภิวัฒน์ไม่ไหว ก็ต้องยอมรับ แล้วสร้างยุทธศาสตร์ใหม่ สร้างพื้นที่ใหม่ สร้างเด็กรุ่นใหม่ ในพื้นที่ที่เพาะบ่มเขาได้อย่างแท้จริง แล้วในวันข้างหน้าอีกไม่นาน ยังไม่สายที่เขาจะกลับมาบูรณะ เปลี่ยนแปลงห้วยของเขาเอง เพื่อสร้างหิ่งห้อยน้อยๆ อีกมากมาย วันหนึ่งศูนย์การเรียนห้วยหิ่งห้อยจะเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีหิ่งห้อยเต็มลำห้วย นั่นหมายความว่าลำน้ำนั้นสะอาดอุดมสมบูรณ์
เทอมเรียนที่ว่าจะให้เด็กไปทดลองเป็นแสงไฟนีออนในเมืองเป็นอันว่าต้องยกเลิกพับไป พุ่งพลังไปที่สร้างฐานใหม่ สร้างพื้นที่ใหม่ให้เด็กเลยทีเดียว ที่ยั่งยืนกว่า ไม่ใช่เพียงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปวันวัน เป็นเดือนๆ แต่ถอยเพื่อให้ยั่งยืน วางรากฐานที่แข็งแกร่งกว่า
คนเราไม่ใช่มีแต่เพียงความกล้าที่จะไป จะทำ แต่ต้องกล้าที่จะหยุด และถอย ในกาละที่เหมาะสมเช่นกัน ฉันเคยเป็นคนที่ดันทุรัง ดื้อรั้น แต่วันนี้ฉันรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น ฉันยังเป็นคนกล้าหาญและมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน นั่นคือการใช้ชีวิตที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง กับครอบครัว กับเด็กชายขอบ และสร้างพื้นที่สร้างสรรค์เปลี่ยนแปลงสังคม โครงสร้างสังคมอันอยุติธรรมอย่างสันติ หากแต่ว่าวันนี้ฉันนึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ฉันรู้ว่ามีคนที่ฉันรักมากมาย และมีคนมากมายที่รักฉัน เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ทำสิ่งที่รั้น ดันทุรัง แต่ควรกล้าหาญทำในสิ่งที่ทำด้วยปัญญา ความรอบคอบ ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และด้วยความรักและเมตตา
สิ่งที่ฉันวางไว้ว่าจะทำมีอยู่สามอย่าง ของโครงการเมล็ดดาวเดินทาง หมู่บ้านนิทานเด็ก รวบรวมนิทานทั่วโลก ทำกิจกรรมนิทาน เรื่องจินตนาการของเด็กๆ ทำเรื่อง Fly again Studio ทำสื่อเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ลงลึกได้ในเรื่องต่างๆ อีกอย่างคือการทำเรื่องโรงเรียนสำหรับเด็กวัยรุ่น เด็กที่กำลังค้นหาความฝัน ทดลอง อยากสำรวจว่าตัวเองอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร มีพื้นที่ให้เขาได้ลองเป็นลองทำ ได้ทำจริง เรียนรู้จากโลกกว้าง ที่นี่พื้นที่ร้อน ที่สังขละ ทำใหดูเหมือนว่าฉันจำทำสิ่งนั้น ไม่ได้ทั้งหมด แม้เพียงสิ่งเดียวคือโรงเรียนก็ยาก ต้องใส่พลังงานเต็มร้อย และอาจจะได้กลับมาเพียงห้า หากแต่ว่าหากฉันถอยสักหน่อย แล้วเตรียมตัวให้พร้อมกว่า ให้อยู่ในที่ที่ฉันสามารถใส่ไปร้อยแล้วได้กลับมาห้าสิบ หรือเกินร้อย ซึ่งมันเป็นไปได้ และประสบการณ์กว่าห้าปีสอนให้ฉันรู้ว่าไม่ใช่ที่นี่ไม่ใช่ที่สังขละบุรี
ฉันยังอยากที่จะอยู่กับครอบครัว มีครอบครัว ครอบครัวที่ฉันคิดว่าฉันเคยมีที่สังขละ กลับเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ครอบครัวฉันแล้ว ไม่ใช่คนรักฉันแล้ว แล้วฉันมีใคร ทำไมฉันถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะ ฉันไม่เคยกลัวกับการเริ่มต้นใหม่ หากฉันกลัวแต่ว่าจะทำความผิดซ้ำเดิม แพทเทร์นเดิมๆ รึเปล่าที่ว่าเริ่มอะไรแล้วไม่ค่อยทำได้จนเสร็จ หรือเป็นเพราะว่าฉันจ้ำอิน กระโดดลงในแต่ละสิ่งเร็วเกินไป ทำให้ฉันต้องรู้สึกเหมือนว่าฉันต้องพยายามทำมันให้เสร็จ หากว่าฉันไม่กระโดดลงไปแต่แรกเร็วเกินไป และรอบคอบกว่านี้ฉันก็อาจจะไม่เริ่มสิ่งนั้น แต่หากว่าฉันไม่เคยเริ่มอะไรไม่เคยมีประสบการณ์ตรงฉันเองก็จะไม่รู้เช่นกันว่าประสบการณ์นั้นใช่หรือเปล่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนต้องการความสมดุล จังหวะ ฉันอยู่จุดไหนกันของทุกสิ่ง ณ เวลานี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น