วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทความที่สิบ“Freedom in My Master Degree” “การบ้าน ป.โท”

บทความที่สิบ ๒๔ พ.ย. ๕๒
“Freedom in My Master Degree”
“การบ้าน ป.โท”

สัปดาห์นี้โดดเรียนค่ะ ไม่ไปทัศนศึกษาที่ลพบุรี โรงรียนสัตยสัยกับกลุ่มในห้องเรียน ป.โท เทอมการศึกษาแรกของป.โทนี้ฉันรู้สึกว่าไม่อยากไปดูงานที่ไหนนัก เพราะตั้งใจมาเรียนรู้ย่อยประสบการณ์เก่าๆ ที่มีมามากมายแต่เก่าก่อน แล้วใจมันก็ไม่พากายไป เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ ใจอยู่กับบ้าน อยู่กับการทำแอนนิเมชั่นการ์ตูนดินปั้น อาจารย์บอกว่าให้เราเช็คเวลาเรียนของเราให้ดีนะ ว่ามีเวลาเรียนได้ครบหรือเปล่า ขาดไปเท่าไหร่แล้ว ฉันขาดไปสองครั้งแล้ว เสาร์ที่ผ่านมาเป็นเสาร์ที่สาม จากการเรียนทั้งหมด ๑๖ สัปดาห์ ฉันคิดว่าฉันอาจจะขาดห้องเรียนครบกำหนด แต่คิดว่าการเรียนรู้ของฉันไม่เคยขาด เพราะการเรียนรู้ของฉันไม่ได้อยู่แต่ในชั้นเรียน ป.โท แต่มันตามกลับมาบ้านด้วย อยู่ในเนื้อในตัวของฉัน เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าฉันเรียนเกินที่กำหนดไว้ในหลักสูตรด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรก็ตามฉันก็คิดว่าไม่ควรทะนงตัวเกินไปนัก ถึงไม่ไปเรียนในชั้นก็ควรเขียนบทความบันทึกการเรียนรู้ของสัปดาห์ส่งด้วย ฉันเขียนบทความนี้หลังจากทำโยคะกับป้าๆ ในซอยบ้าน ฉันเพิ่งตั้งสำนักขึ้นมาใหม่กับป้าๆ super size ในซอยบ้าน ซึ่งรวมตัวกันลุกขึ้นมาวิ่งๆ เดินๆ ในซอยบ้านตอนตีห้า ฉันตื่นขึ้นมาทำงานตีสี่ทุกวัน ได้ยินเสียงป้าๆ ออกกำลังกายบริหารเอว ก็ได้แรงบันดาลใจ ลุกๆ ไปออกกำลังกายด้วย แต่ฉันไม่ชอบวิ่งๆเดินๆ เลยชวนๆ ป้าๆ มาทำโยคะ หอบเสื่อไปให้ป้าๆ ยึดหน้าบ้านน้าผึ้งเป็นลานฝึก ตอนตีห้าครึ่ง เหนื่อยมาก เหนื่อยกับการหัวเราะป้าๆ super size ที่มีความพยายามเป็นเลิศที่หนึ่งค่ะ พยายามบิดตัวบิดเอวตามท่าโยคะไปด้วยกัน ป้าๆได้เหงื่อตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หลังจากทำโยคะ ก็เข้ากิจวัตรประจำวัน เข้าห้องน้ำ หนังสือทีฉันหยิบเข้าไปอ่านในห้องน้ำด้วยในวันนี้คือ สานแสงอรุณ ดุลยภาพในความงดงามของชีวิต ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๒ ซื้อมาจากสัปดาห์หนังสือ ยังไม่ได้เคยหยิบอ่านเลย โปรยปกว่า “ถ้าโลกนี้ไม่มีนิทาน” เปิดไปหน้าแรก
อรุโณวาท
กาลครั้งหนึ่ง...
พระผู้สร้างประชุมส่ำสัตว์ของโลกและเอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า
“ข้ามีความลับอันสำคัญและล้ำค่า ข้าจะซ่อนไว้จากมนุษย์ที่ไหนดี เขาถึงจะได้พบก็ต่อเมื่อพร้อมแล้ว”
นกอินทรีอาสา “ ข้าจะนำมันบินไปยังดวงจันทร์และซ่อนไว้ที่นั่น”
“ไม่ได้” พระผู้สร้างว่า “วันหนึ่งเขาก็จะไปถึงดวงจันทร์และพบมัน”
“ถ้างั้นข้าจะซ่อนมันไว้ที่ก้นมหาสมุทร” ปลาแซลมอนเสนอ
“ไม่ได้” พระผู้สร้างว่า
“วันหนึ่งเขาก็จะลงไปถึงที่นั่นและพบมันเป็นแน่”
“ข้ารู้ ข้ารู้” ควายร้อง “ข้าจะซ่อนมันไว้ในทุ่งกว้าง!”
“แต่เขาก็จะขุดมันขึ้นมาสักวันแหละ” พระผู้สร้างว่า
จากนั้น ตุ่นก็เอ่ยขึ้น “ก็ซ่อนไว้ในตัวของเขาสิ”
พระผู้สร้างว่า “ได้การ...เพราะเขาจะมองหาที่นั่นเป็นที่สุดท้าย”
“ความลับ” นิทานของชนพื้นเมืองอเมริกา
ภูมิช อินสรานนท์: แปล
สัปดาห์นี้โฮมออฟฟิตของฉันคึกคัก มีน้องๆเพื่อนๆ เข้ามาช่วยงานแอนนิเมชั่นกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เข็ม อุเทน ไผ่ ต้น โอ๊ต รวมทั้งสมาชิกในครอบครัว และเพื่อนบ้านในซอย เรากินแกงเขียวหวานกับพะโล้กันสองวันซ้ำๆ เพราะน้องชายของฉันเพิ่งเริ่มกิจการขายข้าวแกง ป็นแกงที่เหลืออยู่ค่อนหม้อแขก
วันก่อนมีเพื่อนน่าจะเป็นอุเทนเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้มนุษย์ส่งข้อความในขวดแคปซูล ส่งไปในอวกาศ เพราะเผื่อจะสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ดูเหมือนจะโรแมนติคก็ใช่ หรือว่าจะสติแตกก็เป็นได้ อ่านมาจากมติชน อีกข่าวนี้ก็เด็ด ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์คิดค้นกันว่าแล้วว่าถ้าน้ำมันหมดโลก ตอนนี้ไปขุดที่ขั้นโลกกันแล้ว และมีแผนว่าจะไปขุดน้ำมันที่ดวงจันทร์เพื่อเอามาใช้ในโลกมนุษย์ ฉันว่าเหลือเชื่อมนุษย์นี่อะไรกันนักหนา น้ำแข็งขั้วโลกละลายแน่ ฉันอาจได้เห็นในชั่วชีวิตสุดท้ายนี้ของฉัน ฉันตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่เกิดแล้ว ก็น่าเกิดใหม่มั๊ยเนี่ย จะมีโลกให้อยู่กันอีกหรือชาติหน้า หรือจะแค่ ๒๐๑๒ อีกสามปี โลกจะแตก วันพุธนี้พวกเราทีมแอนนิเมชั่นนัดกันว่าจะไปดูหนังเรื่องนี้ และฉันตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำวิทยานิพนธ์ให้จบในปีเดียว ซึ่งหมายความว่าจบป.โท ในปีเดียว ไม่ได้รีบร้อนไปไหนค่ะ จะอยู่ใกล้ๆ รุ่งอรุณ อาศรมศิลป์แถวๆ นี้ค่ะ แต่ว่ารู้สึกว่าจบปีเดียวดีกว่าค่ะ
และเมื่อไปดูหนังเรื่อง ๒๐๑๒ มาแล้ว ฉันยิ่งมีปณิธานที่แจ่มชัดขึ้นว่า จะทำวิทยานิพนธ์เรียนให้จบ ป.โทในเพียงปีเดียว และต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ อย่างไรฉันยังไม่แน่ใจนัก แต่ที่ฉันรู้ว่าฉันเชื่อในจินตนภาพและจินตนาการในการเล่าเรื่อง สร้างศิลปะแขนงที่เจ็ดที่เรียกว่าภาพยนตร์ มันออกมาแจ่มชัดมากในหนังเรื่องวันสิ้นโลกนี้ค่ะ ฉันไม่ได้ตื่นตระหนกอยากหนีขึ้นเรือโนอาห์กับเขาด้วย แต่ว่าคิดว่าจะตั้งสติอยู่กับขณะปัจจุบันของเราอย่างไรดี
แอนนิเมชั่นการ์ตูนดินปั้นที่เราทำ ฉากแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับจักรวาล ทำให้เราพูดคุยกันเรื่องจักรวาลกันมาก
Theme : ศรัทธา อัศจรรย์แห่งชีวิตที่รอให้แต่ละคนเดินทางค้นหา
Synopsis: ผีเสื้อนำเมล็ดดาวมาให้กับโลกสีน้ำตาลที่เดินรอบเพียง 7 ก้าว ชีวิตสองชีวิต เติบโต วิ่งเล่น กับความสุขด้วยวิธีที่ต่างทิศต่างทางกัน เด็กหนึ่งไม่เคยหยุดมอง เด็กสองไม่คิดครอบครอง ทั้งสองเดินทางเพื่อหาความหมายบางอย่างกับชีวิต คิดถึงวัยเด็กที่ตามหากันไม่เจอ และศรัทธาที่รออยู่กลางใจเมล็ดดาว ซึ่งแต่ละคนพิสูจน์มิได้ในทันที
โลกสีน้ำตาลในเรื่อง เราเดินกันได้เพียงเจ็ดก้าว โลกนี้มีแรงเฉื่อยและแรงโน้มถ่วงที่ไม่ธรรมดา---
เราทำงานกันหนักตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงเที่ยงคืน แต่ไม่เหนื่อย กลับสนุก เพราะเราหาเวลาพัก แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกัน ดูหนังด้วยกัน คุยกันเรื่องหนังสือ เรื่องโลกเรื่องจักรวาล เรื่องสัมพันธภาพ และสุดท้ายก็ต้องมาเข้าเรื่องของความสัมพันธ์ เรื่องของตัวเอง
พอไปเรื่องแรงโน้มถ่วง เราก็นึกถึงไอน์สไตน์ และกาลิเลโอ คืนก่อนเราดูหนังเรื่องหนีตามกาลิเลโอ ชอบๆๆๆๆๆ ทำพอดีๆๆๆๆ เลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะเจาะได้ชัดและเขียนบทแทรกปรัชญาการใช้ชีวิต ให้ความหมายกับชีวิตของแต่ละคาแรคเตอร์ตัวละครได้อย่างเนียน ภาพ แสงก็ชวนให้ติดตา อุ่นๆ นวลๆ คิดว่าจะเป็นหนังรัก แต่กลับเป็นหนังของมิตรภาพเพื่อนและการให้และใช้ความหมายของชีวิตในแต่ละคน
น้องเข็มเพิ่งอ่านหนังสือเรื่องไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้า เขมบอกว่าไอน์สไตน์ศึกษาพุทธศาสนาก่อนตาย เพื่อที่จะศึกษาทฤษฎีร่นเวลา พบกาลก่อน เข็มว่าไอน์สไตน์ตายไปก่อน แต่เขาได้ค้นคว้าความลับของมิติกาลเวลา เจอประตูสามประตูแล้ว จากพระพุทธเจ้า ว่าเรื่องมิติเวลา ความรู้เท่ามหาสมุทร อะไรประมาณนี้
อุเทน นักเขียนของเราหยิบกระดาษเปล่าหนึ่งหน้าขึ้นมาพลิกกลับไปกลับมา แล้วเอามาให้เรามองหลากมุม เขาบอกว่ากับมุมกระดาษนี้ เราสามารถเรียนรู้เรื่องมิติกาลเวลาได้ อย่างที่ไอน์สไตน์ว่า พวกเรามองหน้ากันเองอย่างงงๆ อุเทนกำลังเขียนหนังสือเรื่องเอกภพอยู่
ฉันไม่รู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์ จักรวาลมากนัก แต่รู้ว่าพระพุทธเข้าเรานี่สุดยอด เป็นสุดยอดของปรมาจารย์ เป็นครูผู้อธิบายเกี่ยวกับความลับของธรรมชาติ จักรวาล จิตใจของมนุษย์ รวมทั้งอริยสัจแห่งชีวิต
ฉันวกกลับมาเรื่องเล่าที่ในอรุโณวาท พระผู้สร้างว่าท่านมีขุมทรัพย์ที่รอให้มนุษย์ค้นพบเมื่อเขาพร้อม และที่ซ่อนที่ดีที่สุด คือในตัวของเขาเอง ฉันมีคำถามเกิดขึ้นสองข้อ
ข้อหนึ่งขุมทรัพย์ที่ว่านั้นคืออะไร วัตถุ ข้าวของ น้ำมัน หรือว่า สติปัญญา
ข้อที่สอง เมื่อมนุษย์พร้อม เขาจะมองหาภายในตัวเขาเองเป็นที่สุดท้าย เพราะเขามัวแต่ไปมองหา ขุมทรัพย์ น้ำมัน ข้อความจากนอกภายนอก จากนอกโลก จากจักรวาล จากมนุษย์ต่างดาว โดยที่ไม่หันมามองที่ตัวเองอย่างนั้นหรือ
ฉันว่าเรื่องเล่านี้มันเข้ากับการเรียนรู้สัปดาห์นี้ของฉันมาก
ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นมนุษย์ที่รู้ตัวทั่วพร้อมขึ้นทุกวัน และค้นพบความลับใจตัวของฉันมากขึ้นทุกๆ วัน
มีความสุขมากขึ้นทุกวัน รู้จักตัวเองมากขึ้นทุกวัน รู้เท่าทันตัวเองมากขึ้น รู้ ตื่น และเบิกบานมากขึ้นทุกวัน
ฉันหยิบภาพยนตร์เรื่อง Freedom Writer มาให้ทีมแอนนิเมชั่นดูกัน สำหรับฉันดูเป็นรอบที่สี่ค่ะ ฉันได้ประเด็นใหม่ในการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ที่นักเรียนพูดกับครูว่า “ การต่อสู้ที่แท้จริงเริ่มตั้งแต่ในห้องเรียนแล้ว” ฉันถามตัวเองว่าวันนี้ฉันสู้ในห้องเรียน ป.โทของฉันหรือยัง ฉันตอบได้เต็มใจว่า เริ่มต่อสู้เรียนรู้ ตักตวง ใช้โอกาส และพื้นที่สร้างการเรียนรู้ในห้องเรียน ป.โทของฉันอย่างเต็มที่แล้ว ฉันต่อสู้เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์เพื่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว สู้ทั้งกล้าทั้งกลัว แต่เชื่อมั่นในความรู้สึก เรียนรู้จากความรู้สึกว่าในนั้นมีสัญญาณ มีลายแทง มีความลับบางอย่างให้เรียนรู้ ฉันค้นพบสติ และ ปัญญาภายในตัวตนของฉันได้มากขึ้นจากการที่หยุด และสังเกตปฏิกิริยาของร่างกายและความรู้สึกสดที่เกิดขึ้นจริงในภาวะขณะ มันมีอะไรบางอย่างนั้น ส่งสารอะไรให้เราใคร่ครวญ ดู รู้ อยู่กับเขา
รอบนี้ดูพากย์ไทย เพราะดูกับเพื่อนๆ น้องทีมแอนนิเมชั่น รู้เรื่องมากขึ้น คุยกันหลังหนังจบ อุเทนบอกว่าชอบ แต่รู้สึกว่าอาจารย์ติดเด็กนักเรียนเกินไปรึเปล่า ตามไปสอนกันจนมหาวิทยาลัย เป็นแค่ครูเองนะ เราเห็นต่างว่า ครูในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่ครู แต่เป็นสเมือนครอบครัวที่สอง เป็นเหมือนพ่อแม่ พี่เพื่อนของเด็กนักเรียนด้วยต่างหาก เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ของเด็กเชียวนะ ครูอีรินปั้นเด็กกลุ่มเดียวก่อน เคียงบ่าเคียงไหล่ตามกันไปให้สุดทาง เมื่อจบมหาวิทยาลัย ก็ไปตามทางแต่ละคน แต่ว่าร่วมกันตั้งมูลนิธิ ทำอะไรสร้างสรรค์ด้วยกัน ฉันตามเข้าไปดูในเว็บไซต์ว่า มูลนิธิ Freedom Writer Foundation เขาทำอะไรกัน แล้วเขียนส่งข้อความเกี่ยวกับโรงเรียนห้วยหิ่งห้อยไปหา จะเอาหนังเรื่องนี้ไปให้เด็กห้วยหิ่งห้อยดูด้วย แล้วเด็กอาจจะอยากเขียนแลกเปลี่ยนไปถึงมูลนิธินี้ หรืออาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กเห็นถึงความสัมพันธ์ของครูกับเด็กว่าเป็นกันได้มากแค่ไหน จริงๆ แล้วฉันอยากให้ห้วยหิ่งห้อยของเรา มีสายสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็กเป็นครอบครัว เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ เคียงคู่ เคียงบ่าเคียงไหล่กันไปเรื่อย ฉันติดเด็กหรือเปล่านะ
เมื่อวานฉันให้อุเทน เพื่อนนักเขียนดูบทความการบ้าน บันทึกการเรียนรู้ประจำสัปดาห์การบ้าน ฉันรวบรวมได้สิบกว่าบทความแล้ว และคิดว่ามันสามารถรวมเล่มเป็นหนังสือได้เล่มหนึ่ง ฉันตั้งชื่อหนังสือไว้แล้วว่า “ การบ้าน ป.โท” “ Freedom in My Master Degree” เพื่อนนักเขียนบอกว่าจะตั้งใจอ่านหนึ่งคืน เช้ามาให้ข้อสะท้อนที่ดีว่า น่าจะใส่บุคลิก นิสัย หน้าตา ท่าทาง คุณลักษณะของเพื่อนร่วมชั้นไปด้วย ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพได้มากขึ้น จะได้มีรายละเอียดตัวละคร นึกภาพตามไปด้วยออก เช่น พี่ปาด หน้าตาเป็นอย่างไร เคร่งขรึม ใส่แว่นหนาเตอะ อ้วน เตี๊ย เพราะพี่ปาดดูเป็นตัวละครตัวพี่ที่เราเอ่ยถึงในบันทึกการบ้านไม่น้อย อาจารย์ประภาภัทร มาดขรึม หรือใจดี ใส่เรื่องวัฒนธรรมการแต่งกายใส่ผ้าถุงไปเรียน ใส่เรื่องความคิด วิเคราะห์ รายละเอียดในห้อง เรื่องที่คุยกันในห้องของคนอื่นๆ ด้วย พัฒนาการการเปลี่ยนหัวใจของห้องให้เป็นห้องเรียนที่เรียนรู้เรื่องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปได้สวยดี เข้าทางเรามากกว่าทางพี่ปาด มีพัฒนาการแค่ไหน
ฉันกลับมาแก้ไขต้นฉบับทันที เพราะอยากจะเอาไป อัพในเวปของห้องเรียน เพื่อเพื่อนในห้องเรียนจะได้ร่วมกันสะท้อน แล้วเพื่อนก็บอกเรื่องข่าวการประกวดนายอินทร์อะวอร์ด ว่าจะเป็นรอบทศวรรษ และจะหมดเขตเดือนธันวาคมนี้ ฉันสนใจในโอกาส และเงินรางวัล และน่าจะสนุก ลองส่งไปเล่นๆ เช้านี้ฉันเลยมานั่งเขียน แก้ไขงานเก่า จากคำแนะนำของเพื่อนนักเขียน ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าจะส่ง Freedom in My Master Degree การบ้าน ป.โท ส่งเข้าประกวดนายอินทร์อะวอร์ด แต่ต้องขออนุญาตเพื่อนๆ และคณาจารย์ก่อนนะคะ อนุญาตหรือเปล่าค่ะ หากแค่ได้เข้ารอบก็จะพาพี่ปาดไปเลี้ยงข้าวเป็นการขอขมาลาโทษค่ะ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น