วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทความที่เจ็ด ลมหนาวมาเยือนอีกครา

บทความที่เจ็ด ๖ พ.ย. ๕๒
ลมหนาวมาเยือนอีกครา

สัปดาห์นี้ลมหนาวมาเยือน หนาวคราวนี้ฉันรู้สึกว่าน่าจะรู้สึกอบอุ่นและไม่โดดเดี่ยว เพราะมีใจฉันมีบ้านให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ฉันรู้สึกอิ่มเอมเหมือนกินปิติ อย่างที่พี่อารีย์ว่า การได้เข้ามาเรียนที่อาศรมศิลป์นับเป็นการเดินทางที่ถูกต้องและในจังหวะที่เหมาะสม ฉันรู้สึกว่าฉันสามารถเลิกตั้งคำถามกับการเข้ามาเรียนที่นี่ได้แล้ว เพราะศรัทธาได้บังเกิด ห้องเรียนเสาร์ที่ผ่านมา สร้างพลังให้ฉันมากมาย ( อาจเป็นเพราะได้นั่งใกล้อาจารย์ประภาภัทร )

หลังเลิกเรียนเสาร์ที่แล้ว ฉันนัดเจอกับน้องๆ อาสาสมัครและทีมงานของโรงเรียนห้วยหิ่งห้อย น้องฟางเป็นน้องคนหนึ่งที่มีหัวใจผจญภัยอันยิ่งใหญ่และรักที่จะเรียนรู้ ตั้งคำถามมากมายและออกไปค้นหาด้วยตัวเอง ฟางได้ทุนไปอินโดนีเซียมาหนึ่งปี วันนี้ที่เราเจอกัน หัวใจผจญภัยอันยิ่งใหญ่ของฟางละลายไปแล้ว เราคุยกันถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตกันใหม่ ณ วันนี้ฟางบอกว่าแม้แต่เห็นคนขอทานก็ไม่อยากจะมอง ฟางวางอนาคตสำเร็จรูปไว้แล้ว ว่าจะเรียนให้จบรามคำแหงภายในสองปีครึ่ง เรียน เรียน เรียน จบแล้วหาทุนไปเรียนต่ออินโดนีเซียอีกครั้ง แล้วก็แต่งงาน มีครอบครัว ระหว่างเรียนรามก็ทำงานเป็นมัคคุเทศก์พาแขกไปซื้อของร้านเครื่องประดับ พัทยาดูระบำเปลื้องผ้า เงินดีมาก เราตั้งคำถามกับฟางเรื่องความสุข ความหมายที่แท้ของชีวิตกันอีก ฟางบอกว่าอยากเดินทางที่ไม่ต้องตั้งคำถามมาก เหนื่อยและกลัว ฉันเข้าใจความรู้สึกของน้องคนนี้ได้ ระหว่างทางที่ฉันค้นหารู้จักตัวเอง หลายๆ ครั้งระหว่างทางฉันก็เป็นเช่นฟางที่เหนื่อยและกลัวกับการสับสน ตั้งคำถาม และหยุดพัก แต่โชคดีที่ฉันไม่เคยหลบหนี หรือออกนอกเส้นทางที่ฉันเชื่อว่ามันเป็นความหมายของชีวิตที่ดีและมีคุณค่า แต่ ณ เวลานี้ฟางอยากที่จะเดินทางด่วน ไปถึงจุดมุ่งหมายโดยเร็ว สะดวก ปลอดภัย และลืมว่าดอกหญ้าข้างทางระหว่างขี่จักรยานมันสวยและมีเสน่ห์แค่ไหน ฉันคิดถึงวันที่พวกเราเช่าจักรยานขี่ไปน้ำตกด้วยกัน ฟางขี่จักรยานนำหน้าทุกคน ปล่อยมือทั้งสองมือ กางเป็นปีก แล้วโบยบินลงเนินเขา อย่างอิสรเสรี

เราคุยกันถึงเที่ยงคืน ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันรู้สึกว่าตระหนักถึงความว่าง ว่างว่าไม่ต้องเป็นเมล็ดดาวอะไร ไม่ต้องยึดมั่นอะไร หากแต่ให้คุณค่าอะไร เพื่อประโยชน์และความหมายอะไร กับคำถามที่ฉันตั้งเกี่ยวกับการเข้าไปทำงานกับรุ่งอรุณ อาศรมศิลป์ แล้วเมล็ดดาวที่ฉันเพาะบ่มมันมาล่ะ คำตอบที่ว่างๆ มาหาฉันคืนนั้นว่า ไม่ได้ทำเพื่อใคร เป็นของใคร หากแต่เป็นการทำเพื่อความหมายและคุณค่าที่เราเชื่อในการเปลี่ยนแปลงการศึกษาเรียนรู้ของสังคมที่มีพลัง เพื่อประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพียงประโยชน์ของตัวเราที่เล็กนิดเดียว

บรรยากาศการเรียนเสาร์นี้ เป็นบรรยากาศที่เราพูดกันถึงความรักที่มีต่อการงานของตัวเอง ครูอารีย์เล่าถึงประสบการณ์ของการทำงาน โค้ชให้กับครูนะ และทำให้ครูนะได้กินปิติในที่สุด และเข้าใจการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนและสำคัญตัวครูนะเอง พี่ปุ๊เล่าเรื่องการโต้สาระวาทีของเด็กมัธยม พี่ปุ๊เป็นคนมีพลังมากมาย ฉันรู้สึกว่าได้รับพลังในการเก็บ จัด ถอดประสบการณ์การเรียนรู้ของพี่ปุ๊ พี่นิดกับทีมศิลปะของโรงเรียนรุ่งอรุณ

ปัญหาคลาสสิคขององค์กรที่มีศิลปินทำงาน คือ ความเป็นศิลปินที่ต้องการสร้างงาน กับความเป็นอยู่กับองค์กร ฉันเข้าใจได้ดี เพราะมันตรงกับประสบการณ์ของฉันทีเดียว ฟังพี่นิดแล้วฉันจุกไปเหมือนกัน เมื่อเลือกสิ่งที่ต้องทำร่วมกันมา กับเลือกที่จะไปคนเดียวตัดรากหรือ เราจะทิ้งกันหรือ คำถามที่แท้น่าจะอยู่ที่ว่า ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งต้องไป แต่เรายังคงรักษาความเป็นทีมไว้ได้อย่างไร ไม่ใช่เรียกร้องว่าทิ้งกันไปหรือ ความเป็นเพื่อนล่ะ จะหาใครมาแทน จะหนีออกไปจากความผูกพันนั้นได้อย่างไร หลบหนีอย่างไรก็คงไม่พ้น กรณีพี่นิดจะไปจากรุ่งอรุณได้อย่างไร ก็ในเมื่อรุ่งอรุณกลายเป็นเนื้อเป็นตัวของเธอไปแล้ว ย้อนกลับมาตัวฉันเอง ฉันก็จะหนีจากความผูกพันการเป็น Whispering Seed, Wandering Seed เมล็ดดาวกล่อมฝัน เมล็ดดาวเดินทาง ไปได้อย่างไร เกือบสิบปีนะที่มันเป็นเนื้อเป็นตัวของฉันเช่นกัน หากแต่ว่าความเป็นศิลปินอยากสร้างงานของฉันก็มีอยู่ในหัวใจและเต้นแรงขึ้นทุกวันเช่นกัน

มื้อกลางวันในบรรยากาศร้านบ้านสวน พี่เองพูดถึงพี่เองกับตะวัน มีแต่คำว่ารักกันและกันของสองคนนี้ หากโลกนี้มีครูอย่างพี่เองสักกึ่งหนึ่ง เด็กคงจะมีความสุขค่อนโลก กรณีนี้พูดไปพูดมากลายเป็นว่า ตะวันอาจเป็นเด็กพิเศษซึ่งพี่เองเองไม่เคยตระหนักถึงเพียงแต่เพ่งมองไปที่ปัญหามาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว ฉันโทรไปหาพี่เองอีกวันหนึ่ง รู้สึกว่าพี่เองรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องพัฒนาการเด็กดีพอ ทำหน้าที่กับตะวันไม่ดีพอ ฉันบอกพี่เองไปว่าเรื่องไม่รู้จักพัฒนาการเด็กเรียนรู้กันได้ รู้ตอนนี้ก็ไม่สาย แต่ที่ผ่านมาพี่เองก็ทำให้หัวใจตะวันรับรู้ได้ว่ามีใครที่รักและห่วงใย และผูกพันกับเขานั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญและมีความหมายกับตะวันแล้ว สิ่งที่พี่เองขอจากตะวันเพื่อเป็นค่าตอบแทนการสอน สองอย่าง คือ หนึ่งสวดมนต์ก่อนนอนเพื่อสมาธิ สองการกวาดบ้านทุกวันตอนเช้าเพื่อฝึกความอดทน ระเบียบวินัย สำหรับฉันนั่นถือเป็นคำขอที่มาพร้อมกับการให้พรวิเศษสำหรับตะวันเลยทีเดียว

พี่ปาด พี่ชายตัวแม่ของห้องเรียน ฉันรู้สึกว่ายังไม่รู้จักพี่ปาด ยังไม่เข้าใจสถานการณ์พี่ปาดที่เพลินพัฒนา เรื่องพี่ปาดยังติดกลับหัวฉันกลับมาบ้านด้วยสองสามวัน จนฉันเรียกชื่อมันออกมาได้ว่า พี่ปาดยังไม่ปอกเปลือกหัวหอมในห้องเรียนกับพวกเรา พี่ปาดพูดเรื่องนามธรรม ศัพท์ยากๆ ที่ต้องเข้าใจด้วยภาษาอังกฤษปนภาษาแม่ของเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้เวียนหัวเวลาฟังพี่เขา เพราะต้องเปลี่ยนหัวรับแปลสองภาษาในเวลาเดียวกัน ฉันคิดว่าฉันเข้าใจพี่ปาดแล้วจะไม่คิ้วขมวดฟังพี่แกอีกแล้ว แต่น่าจะตั้งคำถามที่ทำให้พี่ปาดปลอกเปลือกหัวหอม เพื่อเราจะได้รู้จักหัวใจ เปิดใจแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันจริงๆ

เสาร์ที่ผ่านมา ฉันรู้สึกว่าได้รู้จักและเข้าใจรุ่งอรุณ และอาศรมศิลป์ในวิถี กระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งทำให้รับเอาอาจารย์ประภาภัทรเป็นครู เพราะอาจารย์ประภาภัทรนี่ล่ะที่เป็นตัวแม่ และจุดยืนจุดยึดเหนี่ยวของรุ่งอรุณ อาจารย์ได้ใจและศรัทธาเราไปแล้วล่ะ เหมือนเรารู้สึกว่าจะให้เราทำอะไรก็ว่ามา เราต้องได้เรียนรู้มากมายและเป็นประโยชน์ได้มากมายแน่ๆ ก็เพราะอาจารย์เป็นอาจารย์ มีเป้าหมายเรื่องการศึกษาที่ชัด มีจุดยืน มีพลัง ซึ่งเมื่อฉันรู้สึกเช่นนั้น ฉันตระหนักว่าการที่เรารับใครเข้ามาในหัวใจ รักใครเพิ่มอีกคน สองคน กลับทำให้เรารู้สึกว่าหัวใจเรามีที่ว่างเพิ่มมากขึ้น เบาขึ้น หรือว่าเปิดขึ้น เป็นความรักที่ดีที่มีสุขภาพดีแน่ๆ

สัปดาห์ที่ผ่านมาฉันได้จัดการกับเรื่องที่คั่งค้าง เป็นกังวล เป็นภาระที่ต้องสะสาง กับ World Education เป็นองค์กรแหล่งทุนที่ให้ทุนสนับสนุนการทำโรงเรียนห้วยหิ่งห้อยที่สังขละ ณ วันนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ห้วยหิ่งห้อย แต่ศรัทธาและเป้าหมายในการจัดการศึกษาของเด็กชายขอบของฉันยังไม่เปลี่ยนแปลง ฉันเขียนจดหมายชี้แจงเล่าถึงประสบการณ์ สถานการณ์ และยุทธศาสตร์ใหม่ ปรับโครงสร้างการบริหาร รูปแบบการจัดการเรียนรู้ใหม่ ซึ่งฉันถือว่าเป็นการขึ้นมายืนอยู่ปากเหวของสถานะการเงินของฉันเลยทีเดียว เพราะตอนนี้องค์กรเราอยู่ได้ด้วยทุนจากเขา แต่ฉันก็รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องดูกันจริงจัง พูดคุยกันจริงจัง ว่าเขาจะเป็นทุนอุดมคติ ทุนใจดี หรือว่าทุนเลี้ยงไข้

ฉันดูภาพยนตร์สองเรื่องสัปดาห์นี้ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ และ Freedom Writer เป็นสองเรื่องที่เข้ากันดีกับชีวิตสัปดาห์นี้ของฉันเช่นกัน รถไฟฟ้ามาหานะเธอไปดูกับแม่ เพราะคิดถึงใครบางคน และเป็นช่วงที่รู้สึกว่าหัวใจกุ๊กกิ๊กอย่างไรไม่รู้ แต่ที่สำคัญกว่า คือ แม่ฉันชอบพี่เคนมาก อยากไปดูพี่เคน ไปดูแล้วก็ทำให้หัวใจแม่กุ๊กกิ๊ก กระชุ่มกระชวยขึ้นอีกแยะ ขอวิจารณ์หนังเรื่องนี้สั้นๆ สักนิดหนึ่ง ฉันว่าบทรักไม่ถึง ถ้าจะให้กุ๊กกิ๊กก็อีกนิดหนึ่งนะ ขายความหล่อของพี่เคนมากไป (แต่ขายได้) ทำให้อยากกลับมาเขียนบทใหม่ เอาให้กุ๊กกิ๊กสุดๆ แบบหนังเกาหลีไปเลย
Freedom Writer พี่เองที่น่ารัก ทำแผ่นมาให้ ดูแล้วทำให้ฉันศรัทธาในตัวเองมากขึ้น ชัดเจนในเป้าหมายตัวเองมากขึ้น อิ่มเอม และอบอุ่นกับตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมใครสักคนจะเป็นครูได้อย่างนั้น สามารถพูดกับตัวเองได้ว่า I am amazing teacher as well. ดูเรื่องนี้แล้วฉันร้องไห้ ฉันดูหนังไม่ร้องไห้มานานแล้ว กลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ หนังเรื่องนี้ฉันร้องไห้ด้วยความตื้นตันในศรัทธา และเห็นความรักของคุณครูที่ไม่หวังอะไรนอกจากให้เด็กได้เปลี่ยนแปลง ได้เห็นการจัดการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง Transformative education ที่สอดแทรกอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนของครูในหนังมากมาย ฉันตระหนักว่า เมล็ดดาวและห้วยหิ่งห้อยก็เป็น Learning Transformative Organization อยู่แล้ว ฉันดีใจจังที่เห็นหนังที่เอาเรื่องการเรียนรู้ Learning Transformative ฉันดูรอบที่สองเพื่อดูมุมกล้องและไดอาล้อก ฉันดูรอบที่สามเพื่อดูกระบวนการสอดแทรก Transformative Learning ในเรื่อง ฉันคิดว่าจะเขียนบทความจากเรื่องนี้ และน่าจะเรียนรู้อะไรจาก Freedom Writer Foundation ได้

ลมหนาวมาเยือนอีกครา เขาว่าลมหนาวทำให้คนเราคิดถึงใครสักคนมากขึ้น คิดถึง คิดถึง สัปดาห์นี้ฉันคิดถึงใครบางคน มากมาย คิดถึงว่าเขาจะคิดถึงเราบ้างรึเปล่า คิดถึงเขาแล้วเราก็มียิ้มอุ่นๆ คิดถึงจนเหนื่อย งานหน้าโต๊ะก็เหนื่อย และเยอะแยะอยู่ บอกตัวเองว่าจะไม่คิดถึงแล้ว แต่เดี๋ยวก็ เอ้า! คิดถึงอีกแล้ว เฮ้อ ! แต่บางทีการได้คิดถึงเขาก็ทำให้เราเหนื่อยกับงานหน้าโต๊ะน้อยลง และมีกำลังใจทำงานมากขึ้น เพียงเรารับรู้ความรู้สึก ไม่เพ่ง ไม่จ้อง ไม่ยึด และไม่ห้าม รู้ รู้ รู้ ในที่สุดก็รู้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง รู้แล้วไม่ปฏิบัติการก็ดูเหมือนว่าจะนิ่งดูดายรึเปล่านะ เขาโทรมาหาก่อนพอดีการณ์ ขอให้ส่งขนมขึ้นไปให้บ้าง ฉันก็เลยได้โอกาส ส่งขนมขึ้นไปให้หนึ่งกล่อง และเขียนข้างกล่องว่า ขนมของความคิดถึงพอดีคำ

สัปดาห์นี้ ฉันจัดบ้านใหม่ จัดโต๊ะทำงานของตัวเองใหม่ ห้องนั่งเล่น ห้องสตูดิโอ โต๊ะทำงานของน้องไผ่ซึ่งขะมักเขม้นกับการเขียนหนังสือประสบการณ์ห้วยหิ่งห้อยได้อย่างสนุกสนาน เห็นภาพชัด ทั้งในบทกว่าจะเป็นหิ่งห้อย หิ่งห้อยหาห้วย น้องเขมที่ได้อ่านเรื่องห้วยหิ่งห้อยที่น้องไผ่เขียนแล้วคันมือมาก จับดินสอมาร่างภาพประกอบ ลงสีน้ำที่ดูเหมือนว่าหิ่งห้อยส่องแสงในลำห้วยอย่างสวยงาม ชวนฝัน

ความรู้สึกอย่างนี้นี่เองที่เขาบอกว่าเราหาใจตัวเองเจอ เมื่อมีบ้านที่อบอุ่น หรือว่าใจของฉันมีบ้านให้อยู่ ทั้งบ้านในใจและบ้านให้กายอาศัยร่มเงาเพื่อทำงานและนอนหลับฝันดี.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น